เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน

ร่วมสร้างกฎหมายกับไอลอว์
Blognone Bookmark and Share

05 สิงหาคม 2552

งานครอบครัว จ.สุรินทร์



 
From: wanchai boonpracha <wanchai@familynetwork.or.th>
Date: ส.ค. 2, 2009 9:55 หลังเที่ยง
Subject: งานครอบครัว จ.สุรินทร์
To:

"เสียงตามสาย" สร้างสุขภาวะ

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2552  ไทยโพสต์

    ขึ้นชื่อว่า  "สื่อ"  ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์  หนังสือพิมพ์  หรือวิทยุ  ล้วนมีทั้งข้อดี  ข้อเสีย

     บริโภคสื่อมากไป  เชื่อแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่  แยกแยะไม่เป็น  ถ้าได้ฟังเรื่องดีก็ดีไป  ถ้าได้ฟังเรื่องร้ายก็ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย  สุขภาพใจ  ทั้งเรื่องส่วนตัวและสังคม

     ในบรรดาสื่อต่างๆ  เรื่องของวิทยุชุมชนนั้นนับว่าใกล้ตัวผู้คนมากที่สุด  เพราะเป็นการนำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนในชุมชนมานำเสนอ

     เมื่อเร็วๆ  นี้  ที่จังหวัดสุรินทร์  ก็ได้มีการนำสื่อวิทยุมาใช้สร้างสุขภาวะให้กับครอบครัว

     โครงการวิทยุชุมชนเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้เด็กและครอบครัว  จ.สุรินทร์  จัดขึ้นโดยการสนับสนุนของแผนงานสุขภาวะครอบครัว  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  (สสส.)   ด้วยการอบรม  "สื่อวิทยุชุมชนอาสาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น"  ณ  ศูนย์ฝึกอบรมมูลนิธิพัฒนาอีสาน

     ทั้งนี้  โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาอาสาสมัครให้มีความรู้ความเข้าใจ  และเกิดเครือข่ายสื่อวิทยุชุมชนอาสาฯ  ที่สามารถบอกเล่าประสบการณ์ของชุมชน  ครอบครัว  และบุคคลต้นแบบอย่างต่อเนื่อง  และใช้กระบวนการสื่อวิทยุชุมชน  เพื่อขยายแนวคิดและสร้างกระแสสังคม  โดยผนึกกำลังของภาคีเครือข่ายวิทยุชุมชน  และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพแกนนำของสถานีวิทยุชุมชนต้นแบบ  20  สถานี  ครอบคลุม  17  อำเภอ  ในจังหวัดสุรินทร์  โดยเน้นการใช้บทเรียนและองค์ความรู้สำคัญของสถาบันครอบครัวเข้มแข็งเป็นเงื่อนไขในการดำเนินงานโครงการ  เพื่อให้เกิดการขยายบทเรียนสู่ชุมชนในวงกว้างทั้งจังหวัด

     จากการดำเนินกิจกรรมที่ผ่านมาของชุมชน  ทำให้เกิดบทเรียนที่สำคัญในการพัฒนาครอบครัวให้เกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น   ชุมชนสามารถพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนในการพัฒนาสถาบันครอบครัว  โดยชุมชนร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  ให้สามารถเผชิญกับกระแสสังคมต่างๆ  ได้อย่างมั่นคง 

     หลายชุมชนได้ร่วมพูดคุยกันเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา  สร้างความรัก  ความผูกพันให้กับครอบครัวที่กำลังเผชิญปัญหา  ลดปมด้อยทางสังคมของเด็กน้อยที่กำลังเติบโต  โดยใช้ความสัมพันธ์ในสายเครือญาติในชุมชน  ดูแลครอบครัวที่ยังเป็นปัญหา 

     การพัฒนาครอบครัวอย่างยั่งยืน  จึงไม่ใช่การพัฒนาครอบครัวของตนเองให้มีความสุขแต่เพียงอย่างเดียว  หากแต่ทุกคนในชุมชนต้องช่วยกันดูแล  เผื่อแผ่ความสุขไปสู่ครอบครัวอื่นๆ  เพราะทุกคนในชุมชนได้ช่วยกันดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด  เสมือนครอบครัวใหญ่ที่ทุกคนในชุมชนล้วนเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  จะช่วยให้สามารถลดปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน  โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ  จึงเป็นวิธีการที่สำคัญที่ชุมชนสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้น  และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับครอบครัว

     ดังนั้น  เพื่อให้การดำเนินงานสถาบันครอบครัวเข้มแข็งจังหวัดสุรินทร์  มีพื้นที่และช่องทางการสื่อสารเพื่อขยายบทเรียนประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงในพื้นที่กับสังคมกว้างขวาง  และเพื่อเผยแพร่ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน   ได้ร่วมเรียนรู้และนำประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้กับชุมชนอื่นที่มีความสนใจ   จึงจัดทำ  "โครงการวิทยุชุมชนเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้เด็กและครอบครัว  จังหวัดสุรินทร์"  ขึ้น

     เพราะวิทยุชุมชนทำให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร  จากชุมชนหนึ่งไปสู่ชุมชนหนึ่ง  ผลิตโดยชุมชนเพื่อชุมชน  และเป็นเครือข่ายกลไกที่อาสาสมัครที่ทำงานสื่อสารมวลชนเพื่อสาธารณชน  และเป็นเครือข่ายวิทยุชุมชนเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้เด็กและครอบครัวในพื้นที่ต่อไป

     คุณธีรศักดิ์  เลี่ยมดี  ประธานชมรมวิทยุชุมชนจังหวัดสุรินทร์  เล่าว่า  นอกจากเราจะใช้สื่อวิทยุในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ   ของครอบครัวแล้ว  ทางโครงการฯ  ยังพัฒนานักจัดรายการจากคนในพื้นที่ให้เข้ามามีส่วนร่วม  ฝึกให้น้องๆ  ที่อยู่ในพื้นที่  หรือชาวบ้านได้มาจัดรายการ   เรียนรู้การใช้เครื่องมือต่างๆ  และเปิดสายให้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ฟังในพื้นที่  ช่วยกันตอบปัญหาเรื่องการทำมาหากิน  อาชีพ  ศิลปวัฒนธรรม

     ที่สำคัญได้เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน  เป็นเวทีสำหรับเยาวชนได้แสดงออก  พ่อแม่  ผู้ปกครองมีโอกาสได้ติดตามรับฟัง  บางครั้งก็มีพ่อแม่มาร่วมจัดรายการด้วย  ทำให้ครอบครัวมีความผูกพันมากขึ้น 

     นายวันชัย  บุญประชา  ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัว  สสส.  เล่าถึงทิศทางการพัฒนาเด็กและครอบครัวกับสื่อสาธารณะว่า   สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เด็กเข้มแข็งและป้องกันภัยจากภายนอกได้คือ  ครอบครัว  เราจึงต้องปกป้องครอบครัวโดยการหยุดความทุกข์  และสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัว  และพื้นที่ที่จะสามารถนำไปสู่การรับรู้ของครอบครัวคือ  สื่อ  ซึ่งจะเป็นตัวนำพาความรู้   การเรียนรู้สู่ครอบครัวไทย  สื่อมีหน้าที่ในการรวบรวมนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว  ตัวอย่างครอบครัวดีๆ  นำเสนอให้เป็นแบบอย่างต่อครอบครัวในสังคม  เพราะพลังสื่อสามารถเข้าถึงครอบครัวและเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างกว้างขวาง

     อย่างที่บอกแล้วว่า   การใช้สื่อมีทั้งคุณ  ทั้งโทษ  แต่ถ้าหากใครมองเห็นการณ์ไกล  นำสื่อมาใช้ในด้านบวก  สังคมก็จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่  อย่างเช่นกรณีตัวอย่างของวิทยุชุมชน

สุรินทร์ที่ดำเนินการอยู่นี้.


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

04 สิงหาคม 2552

ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติกับไข้หวัดหมู / ทางเสือผ่าน

 ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติกับไข้หวัดหมู / ทางเสือผ่าน

แสงไทย เค้าภูไทย5/8/2552

 

ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติกับไข้หวัดหมู

 

วันนี้กระแสฟ้าทลายโจรกำลังมาแรงในฐานะยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้ผล  แต่ก็มีอีกกระแสหนึ่งที่แรงพอๆกัน คือประกาศกระทรวงการคลังยกเลิกเบิกค่ายานอกบัญชียาหลัก ที่ทำให้กลุ่มเภสัชสมุนไพรเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

เพราะยาสมุนไพรที่เคยให้เบิกค่ายาในหลักประกันสุขภาพได้นั้น มูลค่าจะหายไปกว่า 30% ของมูลค่าปัจจุบัน

จาก 3,600  ล้านบาทต่อปี  จะเหลือราวๆ  2,000  ล้านบาทต้นๆ

ไม่แต่เท่านั้น ยังทำให้ยาตำรับที่ใช้ในการรักษาไข้หวัดใหญ่ที่กำลังฮิตคือไข้หวัดใหญ่ 2009  หรือไข้หวัดหมูและโรคร้ายแรงอื่นๆพลอยถูกจำกัดขอบเขตการรักษาไปด้วย

นายวรพงษ์ เกรียงสินยส ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย แกนนำของเครือข่ายใช้ยาสมุนไพรแห่งประเทศไทยจึงได้ทำหนังสือถึง  คณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภาและคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ โดยให้เหตุผลว่า

เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและมีความไม่ชอบมาพากล...

คำว่า ไม่ชอบมาพากลนั้น คุณวรพงษ์  ขยายความว่าการห้ามเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติจะทำให้ผู้ป่วยต้องหันกลับมาใช้ยาแผนปัจจุบันแทน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ต่อบริษัทยาแผนปัจจุบัน ซ้ำยังเป็นการปิดกั้นการวิจัยยาสมุนไพรด้วย

เงินเบิกจ่ายยาของโรงพยาบาลนั้น ส่วนใหญ่มี 3 ระบบรักษาพยาบาล คือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคมและระบบข้าราชการ

บัญชีเบิกจ่ายทั้ง 3 บัญชีนี้ ปีหนึ่งๆมีมูลค่ากว่า 60,000  ล้านบาท ขณะที่ตลาดยาในเมืองไทยทั้งหมดรวมกันมูลค่า 120,000  ล้านบาท

ตัวเลขเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทในงบประมาณรายจ่ายด้านสุขภาพของกระทรวงการคลังนี้  หากนำเอาผลงานวิจัยของสถาบันทีดีอาร์ไอ ที่ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร  ประธานสถาบันที่มีผลสรุปว่าทุกโครงการของรัฐบาลมีค่าคอมมิชชั่น 20%, มาทาบแล้ว  คงจะเป็นเงินก้อนโตไม่น้อย

ก้อนโตเสียจนเป็นพิษทำให้อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขคนหนึ่งต้องเข้าไปนอนคุกอยู่ในขณะนี้

ดร.นิพนธ์ ยังประเมินตัวเลขคอมมิชชั่นที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นจากเงินกู้ 800,000  ล้านบาทของรัฐบาลนี้ไว้ว่า จะตกราว 16,000  ล้านบาท

ก้อนโตขนาดนี้  ใครต่อใครในพรรคร่วมรัฐบาลจึงพากันจ้อง ขณะที่สังคมก็จับตามองรัฐบาลก็เลยเกร็ง  ไม่กล้าลงมือในโครงการอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน แม้บางโครงการจะเป็นโครงการเร่งรัดก็ตาม

อาการกลัวละเกร็งลามไปถึงโครงการในงบประมาณปกติ ทำให้มีเงินตกเบิกเป็นหมื่นๆล้าน

เมื่อวานนี้ กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดออกมาว่า -4.4%  เงินตกเบิกไม่ออกมาหมุนเวียนก็เป็นสาเหตุหนึ่งด้วย

กระทรวงการคลังเคยบอกไว้ว่าถ้าเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องกันเกิน 6  เดือนเมื่อไหร่  ให้ถือว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ เงินฝืด

แต่ถึงวันนี้ ธนาคารกลางก็ยังไม่กล้าระบุให้เป็นภาวะเงินฝืด  เหตุเพราะคนไทยยังมีเงินซื้อข้าวกินได้อย่างไม่ขัดสนถึงขั้นขี่คอกันแย่งซื้อ

สำหรับยาในบัญชียาหลักแห่งชาตินั้น  ในด้านยาแผนปัจจุบันแล้ว  คงไม่มีใครเดือดร้อนเมื่อถูกห้ามเบิก

แต่ยาสมุนไพรนอกเหนือจาก 19   ชนิดที่อยู่ในบัญชียาหลักส่วนที่เคยเบิกกันได้นั้น ออกจะเดือดร้อน

เพราะคนไข้บางคนเคยใช้ได้ผลมาแล้ว ก็อยากจะใช้อีก  แต่หลังจากวันที่1 กรกฎาคม ศก.นี้มา  ต้องจ่ายเองแล้ว เบิกไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อเบิกไม่ได้  ก็ไม่รับยา  หันไปรับยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแทน ส่วนใหญ่ก็เป็นยาแผนปัจจุบันตามถนัดของโรงพยาบาล  เพราะโรงพยาบาลรัฐมักจะไม่มีแพทย์แผนไทยในส่วนของเวชกรรมโดยเฉพาะ

คำสั่งนี้จึงเป็นการปิดกั้นการเข้าถึงยาแผนไทยและปิดกั้นงานวิจัยและพัฒนาทางด้านยาไทย ทั้งด้านสมุนไพรและยาตำรับ

สมุนไพรเดี่ยวนั้น แต่โบราณมา หมอไทยไม่นิยมใช้  เพราะมีผลข้างเคียงมาก ยาบางตัวใช้ไปแล้วเกิดอาการโรคดื้อยา หรือเป็นพิษ

ยอดรักสลักใจ เจอยาไทยพร้อมกัน 6 ขนาน ค่า liver function(LF) พุ่งพรวดเป็นหมื่นๆ จนต้องจากไปก่อนเวลาอันควรก็เพราะไม่ผ่านกระบวนการรักษาแผนไทยที่ถูกต้อง

มีรายงานผลการรักษาด้วยยาต้านไวรัสกับโรคไข้หวัดใหญ่หมูในสหรัฐเมื่อวานนี้ว่ามีทั้งด้านบวกและด้านลบ

ด้านบวกบอกว่า  ยาต้านไวรัสที่เรารู้จักกันดีในขณะนี้คือโอเซลทามีเวียร์นั้น นอกจากต้านไวรัส H1N1แล้วยังใช้กับอาการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆได้ด้วย

ตรงกับยาไทย 2 ตำรับ คือจันทน์ลีลากับยาห้ารากหรือเบญจโลกวิเชียร  ที่รักษาได้ทั้งไข้หวัดใหญ่ฤดูกาล(seasonal flu) มาจนถึงไข้หวัดธรรมดาที่เกิดจากเชื้อ rhino virus เช่นเดียวกันกับยาห้าราก ที่ใช้กับไข้ฤทธิ์ร้อนภายในทั้งปวงไปจนถึงเริมและงูสวัด

มีรายงานจากประสบการณ์รักษาเริมและงูสวัดว่ายาห้ารากสามารถลดระยะเวลาการรักษาอาการอันเกิดจากการติดเชื้อ HSV จาก 7 วันในรายที่รักษาด้วยยา Acyclovir ทั้งกินทั้งทา มาเหลือแค่ 3 วัน เท่านั้น โดยไม่ได้ใช้ยาทาควบ

หรือจากท่านผู้รู้และมีประสบการณ์จากการรักษาด้วยยาห้ารากแจ้งมาให้ทราบถึงผลการรักษาไข้หวัดหมูด้วยตนเองหลังจากอ่านข้อเขียนของผมเมื่อ สัปดาห์ก่อน ว่าได้ผล  เช่นเดียวกับอีกหลายท่านที่แจ้งประสบการณ์การรักษาด้วยยาจันทน์ลีลา

ยาจันทน์ลีลานั้น รักษาไข้เจรียงและไข้ดอกสักได้ดีมาก

ชื่อไข้ฟังดูแล้วแสนจะโรแมนติค  แต่พิษของมันไม่เบา  ถ้าเทียบกับโรคปัจจุบันนี้ ก็คือไข้เปลี่ยนฤดูหรือไข้ประจำฤดู(seasonal fever)  โดยเฉพาะฤดูนี้ ดอกสักกำลังบานสะพรั่ง ไข้ตัวนี้ก็แพร่เชื้อสะพรั่งตามมา

ไข้หวัดใหญ่หมูนี้ก็เป็นไข้ตัวหนึ่งในกลุ่มอาการไข้ดอกสัก

ยาจันทน์ลีลาและยาห้ารากเป็นยาในบัญชียาหลักฯ สามารถเบิกได้ แต่ถ้าจะให้หายสนิท เมื่อเวลาไข้เริ่มสร่าง ให้ทานยาเบญจกูลเข้าไปปรับไฟธาตุเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เพราะยาสองตัวนี้รวมทั้งฟ้าทลายโจร  ลดไข้ดีมาก แต่ทานติดต่อกันนานๆจะทำให้มือเท้าชาได้ เพราะเกิดพยาธิสภาพ  เย็นพร่อง

หายาเบญจกูลทานไม่ได้  ใช้ขิงต้มน้ำดื่มแทนก็ได้  เพราะขิงเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่อยู่ในพิกัดเบญจกูล  ให้ความอบอุ่น ขับลมและยังช่วยแก้อาการคลื่นไส้อีกด้วย

ส่วนข่าวร้ายจากอเมริกาก็คือ พ.ญ.มาเรีย เทเรซ่า เซอร์กีร่า หัวหน้าสำนักงานองค์การสาธารณสุขแพนอเมริกัน เมืองลาจอลล่า แคลิฟอร์เนียเปิดเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ได้พบอาการดื้อยา  Tmiflu อันเป็นชื่อการค้าของสาร oseltamivir phosphase  เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว

อาการดื้อยานี้ถ้าเป็นในทางการแพทย์แผนไทยก็คือ ไข้กลับ   ซึ่งหมอไทยรักษาแบบองค์รวมด้วยยา  ตัดรากไข้ เช่นยามหานิล ขจัดพิษภายในให้หมดก่อนแล้วถ่ายรุ ขจัดพิษตกค้างในตับ จากนั้นจึงปรับธาตุฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ

ถอนรากถอนโคนชนิดไม่ให้กลับมาโฟน-อินกันได้อีก

นี่คือเคล็ดลับที่หมอยาไทยใช้รักษาชีวิตคนไทยมานับเป็นร้อยๆปีแล้ว

เป็นกระบวนการรักษาพยาบาลและกระบวนคิดที่ยังไม่มีสถาบันหลักรับรองจึงไม่อยู่ในข่ายเบิกค่ารักษาพยาบาลได้

http://www.siamrath.co.th/uifont/ArticleDetail.aspx?acid=3882


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.narit.or.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.momypedia.com
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

03 สิงหาคม 2552

Bic Club Newsletter



 

--- On Mon, 8/3/09, Bic Englishlearning <bic_english@yahoo.com> wrote:

From: Bic Englishlearning <bic_english@yahoo.com>
Subject: Bic Club Newsletter
To: 
Date: Monday, August 3, 2009, 7:09 PM

เรียน สมาชิกทุกท่าน
   BIC Club ฉบับนี้ มีสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาฝากค่ะ เริ่มแรกเกี่ยวกับการใช้พยัญชนะวรรคตอน การอ่านตัวเลขเป็นภาษาอังกฤษ คำศัพท์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เพลง The ASEAN Way พร้อมคำแปล การใช้คำ pick up กวีนิพนธ์ วันแม่ และอีกหลายหลากที่น่าสนใจค่ะ

Khun BIC
www.bic-ennglishlearning.com



     

01 สิงหาคม 2552

ปันรักปันน้ำใจ แด่น้องร.ร.ตชด.

วันที่ 02 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6821 ข่าวสดรายวัน


ปันรักปันน้ำใจ แด่น้องร.ร.ตชด.


คอลัมน์ สดจากเยาวชน




จากแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับที่ 4 พ.ศ.2540-2559 กำหนดเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาไว้ว่า

"เด็กและเยาวชนมีโภชนาการดี สุขภาพแข็งแรง ใฝ่เรียนรู้ ซื่อสัตย์ ประหยัด และอดทน มีความรู้และทักษะทางวิชาการและการอาชีพเพื่อเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต รักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ"

"เพื่อดำเนินการตามแนวพระราชดำริ สิ่งที่เราจะมอบให้น้องๆ เหล่านี้ จึงมีความหลากหลาย และไม่ใช่แค่หนังสืออ่านดีๆ แต่รวมไปถึงอุปกรณ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตทุกอย่างควบคู่ไปกับการศึกษา เช่น เครื่องกรองน้ำ อุปกรณ์การเกษตร จอบ เสียม เครื่องตัดหญ้า รวมทั้งยาสามัญสำหรับห้องพยาบาล สิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้เด็กๆ มีความพร้อมในการเรียนแล้ว ยังช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นและพัฒนาตนเองได้ดีที่สุด" นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอินโฟเซฟ จำกัด ในเอสซีจี เปเปอร์ เล่าถึงโครงการ "Shred 2 Share โครงการ 2 ข้อมูลปลอดภัย ร่วมใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม" ซึ่งทางบริษัทร่วมกับพันธมิตรโครงการ 36 องค์กรจัดขึ้น



ก่อนเดินทางไปมอบของให้เด็กๆ ตามถิ่นทุรกันดาร ทีมงานของโครงการเดินทางไปสำรวจ 5 โรงเรียนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ได้แก่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ, ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 315, โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนุชเทียน, โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านลาดเรือ และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านรักไทย โดยเข้าไปสอบถามคุณครูอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เด็กๆ ขาด และพูดคุยกับเด็กๆ ในแต่ละโรงเรียนว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันบ้าง จากนั้นจึงกลับมาจัดซื้อจัดหาสิ่งของด้วยงบประมาณที่ตั้งไว้ 1 ล้านบาท ก่อนกลับไปพิษณุโลกอีกครั้ง เพื่อมอบของให้เด็กๆ



การมอบของให้น้องในวันนั้น ทุกคนยังสำรวจไปด้วยกันว่า แต่ละโรงเรียนมีโครงงานที่น่าสนใจอะไรที่ให้เด็กๆ ร่วมกันทำและเรียนรู้ เช่น ที่โรงเรียนตชด.อาทรอุทิศ อุปกรณ์การเกษตรหลายชิ้น อาทิ จอบ เสียม ช้อนปลูก บัวรดน้ำ หรือเครื่องตัดหญ้า ที่นำไปมอบให้ เด็กๆ คงได้ใช้ประโยชน์ในโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน และโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ส่วนหนังสืออ่านนอกเวลา หรือหนังสือเสริมทักษะที่มีประโยชน์อีกหลายเล่มคงได้เข้าไปอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนตชด.บ้านนุชเทียน ที่ซึ่งมีน้องๆ ในโรงเรียนนี่เป็นบรรณา รักษ์กันเอง

ด.ช.เอกชัย ด้วงหม้อ นักเรียนชั้นประถม 6 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า "ผมดีใจครับที่ได้หนังสือโลกวิทยาศาสตร์ คิดว่าจะเอาไปค้นคว้าหาความรู้ต่อ"

น้องเอกชัยยังเล่าว่า ผมปลูกผักบุ้งเก่งที่สุด ฝักบัวอันใหม่ที่เพิ่งได้รับมาน่าจะช่วยให้ผักบุ้งในแปลงเกษตรที่โรงเรียนโตวันโตคืนเลื้อยยาวไปทั่วแปลง กลายเป็นอาหารกลางวันแสนอร่อยให้พี่ๆ น้องๆ ในโรงเรียนตชด.อาทรอุทิศได้อิ่มถ้วนหน้า

ส่วน ด.ญ.อรทัย พิมพ์ทอง เพื่อนร่วมชั้นของเอกชัยบอกว่า "ปกติหนูชอบอ่านหนังสือ และเล่นวอลเลย์บอลค่ะ อยากขอบคุณพี่ๆ ที่มอบหนังสือดีๆ สำหรับเด็กๆ และลูกวอลเลย์บอลลูกใหม่ให้ แต่หนูจะเก็บไว้ก่อน รอให้ลูกเก่าใช้ไม่ได้แล้วจะค่อยหยิบมาใช้ค่ะ"

จ.ส.ต.ธนชัย มะธิปิไขย ครูใหญ่โรงเรียนบ้านนุชเทียน กล่าวว่า ขอบคุณทุกฝ่ายที่มองเห็นความสำคัญและก้าวเข้ามาช่วยเหลือเด็กๆ ผมแน่ใจว่าของที่ได้รับในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์กีฬา ไปจนถึงอุปกรณ์การเกษตรทุกชิ้น น่าจะเป็นประโยชน์และช่วยให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป


หน้า 23
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNVEF5TURnMU1nPT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBd09TMHdPQzB3TWc9PQ==

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

โพลชี้คนไทยเมินจดหมายหันใช้โทรศัพท์

โพลชี้คนไทยเมินจดหมายหันใช้โทรศัพท์

Pic_23500

ศรีปทุมโพลสำรวจพบในปัจจุบันคนไทยใช้โทรศัพท์สื่อสารถึงกันมากที่สุด ส่วนจดหมายนิยมใช้เพื่อการทำงาน-มีความจำเป็น สาเหตุหลักเพราะความล่าช้า...

นางสาวปรียากร หวังมหาพร ผู้อํานวยการสํานักวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าววันนี้ (1 ส.ค.) ถึงผลการสํารวจผล “ศรีปทุมโพล” หัวข้อ “การสํารวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการสื่อสารโดยจดหมายในปัจจุบัน” เนื่องในวันสื่อสารแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 ส.ค.ของทุกปี จากกลุ่มตัวอย่าง 3,000 คน ในเขตกรุงเทพฯ พบว่า ปัจจุ บันประชาชนสื่อสารโดยโทรศัพท์มากที่สุดร้อยละ 87.40 รองลงมา คือ อีเมล์ร้อยละ 11.17 และจดหมาย ร้อยละ 1.43 แต่สิ่งที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนไม่ได้เขียนจดหมายเลยถึงร้อยละ 60.67 ส่วนคนที่เขียนประจํา/บ่อย มีเพียงร้อยละ 2.57 ส่วนความสำคัญของการเขียนจดหมายพบว่า คนไทยคิดว่าการเขียนจดหมายหากันยังมีความ สําคัญอยู่ร้อยละ 64.40 และคิดว่าไม่สําคัญร้อยละ 35.60

ผู้อำนวยการสำนักวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวต่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 39.96 ใช้จดหมาย เพื่องาน รองลงมา คือ มีความจําเป็นต้องใช้ร้อยละ 34.61 ใช้เพื่อบอกความรู้สึกร้อยละ 17.80 และใช้สื่อสารภายในครอบ ครัว ร้อยละ 7.63 ส่วนสาเหตุที่ทําให้ประชาชนสื่อสารด้วยจดหมายน้อยลง คือ ช้า ร้อยละ 57.67 รองลงมา คือ ลําบาก เช่น การหาซื้อซอง แสตมป์ ร้อยละ 21.23 ไปรษณีย์อยู่ไกล ไม่สะดวก ร้อยละ 16.73 และเสีย ค่าใช้จ่าย ร้อยละ 4.37 อย่างไรก็ตาม ในทัศนคติของประชาชนเห็นว่าบุคคลที่จําเป็นต้องใช้จดหมายอยู่ ส่วนใหญ่ คือ ในกลุ่ม ผู้สูงอายุ ร้อยละ 40.29 รองลงมา คือ ในกลุ่มผู้ใหญ่ / วัยทํางาน ร้อยละ 33.67, เด็กนักเรียน ร้อยละ 15.37 และ นิสิต / นักศึกษา ร้อยละ 8.87

ด้านนายวิชิต อู่อ้น ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนสื่อสารโดยโทรศัพท์เป็นจํานวนมากถึงร้อยละ 87.40 แต่จดหมายในปัจจุบันมีคนใช้เพียง ร้อยละ 1.43 สื่อให้เห็นว่าในปัจจุบันประชาชนใช้จดหมายในการสื่อสารน้อยลงอย่างมาก และยังพบว่าประชาชน ส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนจดหมายเลย โดยคนที่ยังใช้จดหมายอยู่จะใช้จดหมายเพื่องาน และมีความจําเป็นต้องใช้ซึ่งสาเหตุที่ทําให้ประชาชนสื่อสารด้วยจดหมายน้อยลง สาเหตุหลัก คือ ช้า และลําบากในการหาซื้อซองแสตมป์ไปรษณีย์อยู่ไกล และไม่สะดวก

ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวต่อว่า ในทัศนคติของประชาชนเห็นว่า คนที่จําเป็นต้องใช้จดหมายอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ และ ผู้ใหญ่วัยทํางาน แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารในปัจจุบันต้องการความรวดเร็ว ความสะดวก และความทันสมัย ดังนั้น ควรแก้ไขจากสาเหตุที่ทํา ให้ประชาชนสื่อสารด้วยจดหมายน้อยลง คือ ช้า และลําบาก เช่น การหาซื้อซองแสตมป์ ไปรษณีย์อยู่ ไกล ไม่สะดวก เพราะประเด็นเหล่านี้ ทําให้ประชาชนสื่อสารด้วยจดหมายลดลงทั้งหมดรวม ร้อย ละ 95.63 หากแก้ปัญหาเกี่ยวกับ ความไม่สะดวก ในการส่งจดหมายได้ จะทําให้ประชาชนหันมาให้ ความสนใจกับการสื่อสารด้วยจดหมายมากขึ้น และเพิ่มความทันสมัย เพื่อกระจายการใช้จดหมายในทุก ช่วงกลุ่มอายุ

http://www.thairath.co.th/content/edu/23500

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

ผู้ติดตาม