เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน

ร่วมสร้างกฎหมายกับไอลอว์
Blognone Bookmark and Share

18 กรกฎาคม 2552

แบบสำรวจความคิดเห็น เรื่อง "รายการโทรทัศน์ในดวงใจครอบครัว"



 
From: มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว <famnet@familynetwork.or.th>
Date: ก.ค. 17, 2009 11:06 ก่อนเที่ยง
Subject: แบบสำรวจความคิดเห็น เรื่อง "รายการโทรทัศน์ในดวงใจครอบครัว"
To:

เรียนทุกท่าน
 
ทางเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ ได้จัดทำแบบสำรวจรายการโทรทัศน์ในดวงใจครอบครัวขึ้น เพื่อมอบรางวัลให้รายการโทรทัศน์ที่ครอบครัวชื่นชอบและเห็นว่าเป็นรายการที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัว ซึ่งรายการที่ทำการสำรวจนั้น เป็นรายการที่ออกอากาศในปี 2551 ที่ผ่านมา
 
และเพื่อให้รางวัลนั้นเป็นรางวัลในดวงใจของครอบครัวอย่างแท้จริง ทางเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ จึงอยากขอความกรุณาทุกท่าน ตอบแบบสำรวจความคิดเห็นนี้และส่งกลับมาที่ grace_social@hotmail.com ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2552 นี้
 
ขอบคุณมากค่ะ
 
 
 


--
มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
192 ซอย 8 ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ
แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์: 0-2954-2346-7
โทรสาร: 0-2954-2348
Website: www.familynetwork.or.th
Email: famnet@familynetwork.or.th
 



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

08 กรกฎาคม 2552

"จอน" เปิดเว็บ iLaw ชวนปชช. เขียนกฎหมาย



 
From: i Law <ilawth@googlemail.com>
Date: ก.ค. 7, 2009 5:11 หลังเที่ยง
Subject: "จอน" เปิดเว็บ iLaw ชวนปชช. เขียนกฎหมาย
To:

สวัสดีจ้ะ

เว็บไซต์ iLaw ที่เคยส่งแบบสำรวจไปถามความเห็นเรื่องการแก้ไขกฎหมาย
วันนี้เว็บไซต์เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ;)
ลองแวะไปเดินเล่นได้แล้วจ้ะ ที่ http://ilaw.or.th

และจากแบบสำรวจครั้งนั้นเอง มีการสรุปผลออกมาเป็นงานสองชิ้นนี้

ข้อเสนอจากอินเทอร์เน็ต : คุณอยากแก้กฎหมายอย่างไรบ้าง
คนเล่นเน็ตสน “ภาษีมรดก-ต้านซ้อมทรมาน-เรียนฟรีถึงป.ตรี”

เชิญชวนคุณมาสมัครสมาชิกเป็นชุมชน iLaw ด้วยกัน
หรืออยากทำความรู้จัก iLaw เพิ่มเติม อ่านรายละเอียดได้ที่นี่

ขอบคุณ แล้วพบกันในเว็บไซต์ ;)

---------------------------



"จอน" เปิดเว็บไอลอว์ ชวนปชช. เขียนกฎหมายของประชาชน



(7 ก.ค. 52) - จอน อึ๊งภากรณ์ เปิดเว็บไซต์ไอลอว์ (iLaw) http://ilaw.or.th เปิดตัวอย่างเป็นทางการวันนี้ (7ก.ค.) เปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมเสนอและแก้ไขกฎหมาย และผลักดันด้วยการล่าชื่อให้ครบหมื่นเพื่อเสนอเข้าสู่กระบวนการรัฐสภา ตามมาตรา 142 และ 193 ของรัฐธรรมนูญ 2550

นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวว่า เว็บไซต์ไอลอว์ (iLaw) สนใจอยากเห็นและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของคนทั่วไปในการเสนอกฎหมาย ซึ่งมากกว่าเพียงแค่ร่วมลงนาม แต่มีส่วนตั้งแต่การออกแบบเนื้อหา

"มักมีคนถามว่า แล้วเว็บไซต์ไอลอว์จะแก้กฎหมายอะไร คำตอบคือไอลอว์จะเปิดพื้นที่ให้คนที่อยากเสนอกฎหมาย หรือมองเห็นปัญหาแล้วอยากแก้ไขในกฎหมาย มีโอกาสผลักดันข้อเสนอได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยชุมชนช่วยกันบอกข้อเสนอที่อยากแก้ จากนั้นจะมีทีมงานนักกฎหมายช่วยปรับให้มันเป็นร่างกฎหมาย" นายจอนกล่าว

นายจอนกล่าวว่า จากประสบการณ์ที่เคยทำงานเป็นสมาชิกวุฒิสภา อยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติ งานหนึ่งที่เป็นหน้าที่หลักคือการแปรญัตติกฎหมาย แม้พบว่ามีอุปสรรคมากมายและต้องเจอกระบวนการที่ซับซ้อน แต่ก็เชื่อว่า มันเป็นขั้นตอนสำคัญที่ประชาชนทั่วไปก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนนิติศาสตร์มาโดยตรง เพราะแม้แต่ ส.ส. และ ส.ว. เอง ก็มีความหลากหลาย และไม่ใช่ทุกคนที่เป็นนักกฎหมาย

"โดยทั่วไป กว่ากฎหมายจะออกมาได้แต่ละฉบับ ต้องเจอขั้นตอนซับซ้อน แม้ปัจจุบันกฎหมายจะเอื้อให้ประชาชนครบหมื่นชื่อเสนอกฎหมายได้ แต่การจะสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมจริงๆ มันต้องมีช่องทางและโอกาสที่เอื้อให้ประชาชนเข้าถึงการแก้ไขกฎหมายได้จริง ซึ่งขั้นนี้น่าจะเป็นช่องทางสำคัญก่อนจะนำไปสู่การล่าชื่อให้ครบหมื่นชื่อ"

นายจอนเสริมว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนมันสอดรับกับกระแสโลกออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นอย่า่งต่อเนื่อง และอินเทอร์เน็ตเป็นแบบจำลองของระบอบประชาธิปไตยที่ค่อนข้างท้าทายระบอบประชาธิปไตยในการเมืองทั่วโลก

"อยากเชิญชวนในทุกคนมาสร้างสรรค์กฎหมาย แม้ว่ากฎหมายจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม แต่สิ่งสำคัญคือมันจะช่วยสร้างอำนาจการต่อรองให้แก่ประชาชน ในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดี"

โดยในวันนี้ (7 ก.ค.) เว็บไซต์ไอลอว์ http://ilaw.or.th ซึ่งดำเนินงานโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ภายใต้มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก ผอ.โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนกล่าวว่า เว็บไซต์ไอลอว์จะสนับสนุนการเสนอกฎหมายที่ไม่ขัดกับจุดยืนเรื่องความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันในสังคม ไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และเคารพในระบอบประชาธิปไตย

ปัจจุบัน ในเว็บไซต์ไอลอว์มีเนื้อหาที่เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของประชาชนว่ามีความ สนใจอยากแก้ไขกฎหมายใดบ้าง ซึ่งสามารถระดมข้อเสนอได้กว่าร้อยประการ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายที่อยู่ระหว่างการเปิดประเด็นระดมความเห็นเพื่อแก้ไขกฎหมาย อาทิ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์


#######

แนะนำช่องทางลัด :

3 ส่วนหลักสำหรับเล่นเว็บ

"คิด" : เสนอความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อยากเปลี่ยนสังคม ข้อความเล็กๆ จากคุณ ต่อไปอาจกลายเป็นกฎหมายที่ใช้ได้จริง
"
ออกแบบ" : ออกแบบกฎเกณฑ์แก้ไขข้อเสนอ ที่น่าจะมีในร่างกฎหมายประชาชน
"
ลงนาม" : อ่านร่างกฎหมายประชาชน หากพอใจ ก็ร่วมลงนามเป็นหนึ่งในหมื่นรายชื่อผลักดันกฎหมายเข้าสู่กระบวนการ


คลิกตามคำสำคัญ ว่ามีข้อเสนออะไรแล้วบ้าง (คุณเสนอเพิ่มได้!)

การเมือง  แรงงาน  กระบวนการยุติธรรม  สิทธิมนุษยชน  การศึกษา  สิ่งแวดล้อม  สื่อ  เศรษฐกิจ  คุณภาพชีวิต



ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมโทร. 086 897 7828


*******


 




--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

06 กรกฎาคม 2552

ต้องรื้อโครงสร้างรถไฟ


คลังยันต้องปรับโครงสร้าง รฟท.เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อรองรับกับงบจากไทยเข้มแข็งอีกกว่า 4 เท่า หรือเกือบ 5 หมื่นล้านต่อปี ระบุหากทำได้ตามแผนจะพลิกฟื้น รฟท. มีกำไรอย่างต่อเนื่อง...
Pic_17674 
นายอารีย์พงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีแผนปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่า การรถไฟมีความจำเป็นจะต้อง เร่งดำเนินการตามแผนให้ได้ ทั้งนี้ แผนครั้งนี้เป็นการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของการรถไฟเนื่องจากที่ผ่านมาภาพรวมของปัญหาในการรถไฟนั้น ประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรงโดยหนี้เงินกู้มีประมาณ 72,800 ล้านบาท และมีดอกเบี้ยจ่ายต่อปีประมาณ 2,100 ล้านบาท ส่งผลทำให้การดำเนินงานถดถอยและขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 51 ขาดทุนสุทธิที่ 10,142 ล้านบาท ทำให้ขาดความสามารถทางการแข่งขันอีกทั้งยังมีภาระบำเหน็จบำนาญมากสูงขึ้นเรื่อย โดยค่าใช้จ่ายในปี 51 มีประมาณ 2,700 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 4,500 ล้านบาทต่อปี ในปี 2570 รวมไปถึงที่ผ่านมาการรถไฟยังขาดกลยุทธ์ในการดำเนินงานเนื่องจากโครงสร้างองค์กรซับซ้อนและไม่สอดคล้องกับการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ ประกอบกับขาดความชัดเจนด้านนโยบายดำเนินงาน  เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ในด้านภาระหนี้สินเงินกู้ กระทรวงการคลังจะพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ในอดีตทำให้ภาระหนี้และดอกเบี้ยลดลง ส่วนด้านการดำเนินงานที่ถดถอยนั้น ปัจจุบันรัฐบาลมีการให้เงินอุดหนุนในฐานะหน่วยงานที่ให้บริการสาธารณะให้กับการรถไฟ แล้ว เพื่อให้การลงทุนรวดเร็วขึ้นซึ่งจะทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้

ในด้านภาระบำเหน็จบำนาญเห็นว่าการบริหาร ทรัพย์สินในเชิงรุกจะทำให้การรถไฟมีรายได้จากการบริหารทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเพียงพอให้สามารถจ่ายค่าบำเหน็จบำนาญได้โดยไม่เป็นภาระต่อองค์กรและรัฐบาล และในด้านการขาดกลยุทธ์ในการดำเนินงานนั้นจะต้องทำให้มีการกำกับดูแลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสามารถจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจและหนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาขององค์กรยังรวมไปถึงการตั้ง 2 บริษัทลูก  คือบริษัทบริหารทรัพย์สินและบริษัทเดินรถแอร์พอร์ตลิงค์

อย่างไรตาม   ปัจจุบันนี้เป็นจังหวะที่ระบบขนส่งทางรางจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นการลดภาระด้านต้นทุนและจะส่งผลทำให้เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศได้ เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาการรถไฟ ไม่ได้พัฒนาเส้นทางใหม่เลย แต่การลงทุนทางรางทั้งหมดเป็นการสร้างทางคู่และเพิ่มประสิทธิภาพรางเก่า โดยสร้างรางรถไฟใหม่ได้ไม่ถึง 50% ของเป้าหมายเท่านั้น อีกทั้งงบประมาณของการรถไฟในแต่ละปีที่มีถึง 10,000-20,000 ล้านบาท ก็มีการเบิกจ่ายได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือในอนาคตภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จะให้งบแก่การรถไฟสูงขึ้นจากเดิมถึง 4 เท่า เป็น 40,000-50,000 ล้านบาท

"ถ้าโครงสร้างต่างๆภายใต้แผนปรับปรุงการรถไฟไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมก็จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน จึงมีความจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างของการรถไฟโดยเร็ว เนื่องจากโครงสร้างองค์กรเดิมนั้นรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้แล้ว และที่สำคัญการปรับปรุงตามแผนดังกล่าว ก็เพื่อรองรับกับงบประมาณจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นภายใต้ โครงการไทยเข้มแข็งที่การรถไฟจะได้รับในอนาคต"

ทั้งนี้ หากการรถไฟสามารถเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรได้ตามแผนที่วางเอาไว้ภายในระยะเวลา 6 ปีข้างหน้าจะทำให้การรถไฟสามารถเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และจะเพิ่มปริมาณการขนส่งโดยสารได้อีก 25% รวมไปถึงจะเพิ่มจำนวนรถที่วิ่งบนรางอีกร้อยเปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญผลการขาดทุนจากการดำเนินงานขององค์กรจะลดลง เนื่องจากการรถไฟสามารถลงทุนได้เพิ่มขึ้นและสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอและผลการดำเนินงานที่เป็นเงินสดของบริษัทเดินรถจะเป็นบวกภายใน 3-4 ปี ซึ่งจะส่งผลทำให้รัฐสามารถชดเชยผลการขาดทุนลดลงด้วย   โดยเมื่อปี  51 การรถไฟขาดทุน 10,142 ล้านบาท แต่หากดำเนินการปรับโครงสร้างตามแผนจะทำให้มีกำไรตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มแผนทำให้จนถึงปี 61 การรถไฟจะมีกำไรสุทธิที่ 17,785 ล้านบาท.

ทีมข่าวเศรษฐกิจ
http://www.thairath.co.th/content/eco/17674

 




ดูส่วนอื่นๆ ของ Windows Live™ มากกว่าเมล–Windows Live™ เป็นยิ่งกว่ากล่องรับอีเมลของคุณ มากกว่าข้อความ

"พาณิชย์"ตรวจพบตุกติกโครงการรับจำนำ แฉเวียนเทียนข้าวฟันกำไรตันละ 3-5 พัน สั่ง 6 โรงสีหยุดรับจำนำ


วันที่ 05 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 22:32:23 น.  มติชนออนไลน์

"พาณิชย์"ตรวจพบตุกติกโครงการรับจำนำ แฉเวียนเทียนข้าวฟันกำไรตันละ 3-5 พัน สั่ง 6 โรงสีหยุดรับจำนำ

"พาณิชย์"ตรวจพบตุกติกนำข้าวเก่าขายยุค"ไชยา สะสมทรัพย์" เวียนเทียนรับจำนำ ฟันกำไรตันละ 3-5 พันบาท ต้นเหตุโควต้า 2 ล้านตัน เต็มเร็วผิดปกติ สั่ง 6 โรงสีหยุดรับจำนำ กก.สรุปผลสอบโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตร 3 ชนิด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำมันปาล์มดิบ มันสำปะหลัง ชี้ผิดปกติอื้อใช้สวมสิทธิเกษตรกร ที่�กาฬสินธุ์�ให้ ธ.ก.ส.แจ้งดำเนินคดี เสนอนายกฯป้องกัน

 

พณ.พบตุกติกรับจำนำข้าวเก่า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 4-7 กรกฎาคม กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทีมออกตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2552 ที่รัฐบาลได้อนุมัติให้เพิ่มปริมาณรับจำนำอีก 2 ล้านตัน เนื่องจากได้รับเบาะแสว่าจะมีการนำข้าวสารเก่าเข้ามาสวมสิทธิในโครงการรับจำนำ โดยเฉพาะนำข้าวที่ขายไปในสมัย นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีต้นทุนเพียงตันละ 12,000 บาท มาขายให้กับโรงสีในราคาตันละ 15,000-17,000 บาท ได้กำไรตันละ 3,000-5,000 บาท ขณะที่โรงสีก็นำข้าวที่ซื้อมาส่งเข้าโครงการรับจำนำ ซึ่งต้นทุนข้าวสารที่รับจำนำจะอยู่ที่ตันละ 22,000 บาท ได้กำไรประมาณตันละ 5,000 บาทเช่นเดียวกัน ซึ่งข้าวส่วนใหญ่อยู่ในโรงสีอยู่แล้วเพียงเปลี่ยนกระสอบใหม่ จึงเป็นเหตุให้โครงการรับจำนำเต็มโควต้าเร็วจนผิดปกติในบางพื้นที่ และพื้นที่ตามโรงสีไม่เพียงพอกับการเปิดรับจำนำเพิ่ม ทำให้กระทรวงพาณิชย์สั่งการผ่านองค์การคลังสินค้า (อคส.) และคณะกรรมการนโยบายข้าวจังหวัดให้เข้มงวดต่อเงื่อนไขการรับจำนำ ทำให้บางโรงสีต้องรีบซื้อข้าวเข้ามา เพื่อป้องกันการถูกตรวจสอบ โดยล่าสุดได้มีการตรวจสอบพบและสั่งการให้โรงสี 6 โรงหยุดการรับจำนำข้าวแล้ว ซึ่งการตรวจสอบครั้งนี้มีเป้าหมายใน 20 พื้นที่


ชี้บางโรงสีสวมสิทธิเกษตรกร


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ว่า ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวกับรัฐบาล หลังจากตรวจสอบพบความผิดปกติในโครงการรับจำนำ โดยเฉพาะการนำข้าวเก่ามาเวียนเทียนในโครงการ ทั้งข้าวขาวและข้าวเหนียว ส่งผลกระทบทำให้โครงการรับจำนำเต็มโควต้าเร็ว และกระทบกับเกษตรกรที่จะนำข้าวเข้ามาจำนำ นอกจากนี้ ได้รับแจ้งว่ามีบางโรงสีทำการสวมสิทธิเกษตรกร โดยนำข้าวของตัวเองเข้าสู่โครงการรับจำนำ เนื่องจากเกษตรกรบางรายนำข้าวมาจำนำไม่เต็มโควต้ารายละ 350,000 บาท โรงสีก็จะนำข้าวของตัวเองไปใส่ให้เต็มโควต้า แล้วแอบอ้างใช้ชื่อของเกษตรกร


"การตรวจสอบพบว่า มีบางโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ คือ หากไม่วางเงินค้ำประกัน 70% ของข้าวที่รับจำนำ ก็ต้องซื้อข้าวจากเกษตรกรครึ่งหนึ่งของปริมาณที่รับจำนำ ซึ่งหากพิจารณาจากผลการรับจำนำข้าวจนถึงขณะนี้มีข้าวอยู่ในสต๊อครัฐบาลแล้วประมาณ 4 ล้านกว่าตัน และตามเงื่อนไขโรงสีต้องซื้อครึ่งหนึ่ง 2 ล้านตัน ข้าวก็น่าจะหมดจากท้องตลาดแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ายังมีข้าวเหลืออยู่ในมือเกษตรกรอีกเป็นจำนวนมาก กรมได้ข่าวว่าจะมีการตุกติกในโครงการรับจำนำข้าว จึงต้องส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ และหาทางป้องกัน" นายยรรยงกล่าว


สอบแทรกแซงผิดปกติ


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผย "มติชน" ว่า ผลจากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/2552 โครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2551/2552 และโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/2552 มีนายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานตามโครงการ และให้ข้อคิดเห็นเสนอแนะการบริหารจัดการและมาตรการดำเนินงานต่อรัฐบาล นั้น


แหล่งข่าวกล่าวว่า ล่าสุด ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ สรุปผลการตรวจสอบโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตรทั้ง 3 ชนิด เพื่อนำเสนอให้นายกฯพิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยผลการจัดทีมลงตรวจสอบในพื้นที่หลายจังหวัด พบความผิดปกติ ดังนี้
1.ปัญหาเกี่ยวกับการสวมสิทธิเกษตรกรและข้อบกพร่องในการปฏิบัติของผู้ประกอบการ อาทิ เกษตรกรแจ้งพื้นที่เพาะปลูกในการจดทะเบียนรับรองความเป็นเกษตรกรผู้ปลูกทั้งข้าวโพดและมันฯ เพื่อใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ ไม่ตรงกับสถานภาพที่แท้จริง โดยในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ จ.กำแพงเพชร มีการประสานผู้ว่าราชการจังหวัด ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ส่วน จ.กาฬสินธุ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้ว
2.เกษตรกรในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ร้องเรียนว่า ลานมัน รับจำนำราคาต่ำกว่าราคาที่กำหนดและน้ำหนักในใบประทวนไม่ตรงกับใบชั่งน้ำหนัก
3.ใบชั่งน้ำหนักของโรงแป้งมันในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ มีการแก้ไขวันที่ เดือนที่รับจำนำเป็นเดือนถัดไปทำให้รัฐต้องเสียเงินเพิ่มตันละ 50 บาท ตามราคาที่กำหนดให้เพิ่มขึ้นแต่ละเดือน เบื้องต้นได้สั่งการให้แก้ไขและให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีการรายอื่นที่ดำเนินการลักษณะนี้หรือไม่
4.บางลานมันมีการหักน้ำหนักหัวมันสดจากปริมาณที่เกษตรกรนำไปจำนำ 20% ทุกราย หรือบางลานมันมีการหักเชื้อแป้ง 30% ทุกราย


พบช่องทางส่อให้ทุจริตเพียบ


แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนการบริหารจัดการ จากการตรวจสอบพบปัญหาและปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ที่เปิดทางให้มีการทุจริตหรือสวมสิทธิเกษตรกร คือ การรับรองความเป็นเกษตรกรที่ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้อง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทน 3 ฝ่าย ณ จุดรับจำนำ ขาดประสิทธิภาพ และปัญหาการจัดคิวให้เกษตรกร ที่ไม่เป็นธรรม และทั่วถึง เบื้องต้นสามารถสรุปได้ดังนี้ 1.การประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับทราบไม่ทั่วถึง ทำให้ขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักเกณฑ์วิธีการในการรับจำนำ 2.ลูกจ้าง อคส.ประจำหน่วยรับจำนำบางส่วนขาดความรู้ความเข้าใจหลักเกณฑ์ขั้นตอนและวิธีการรับจำนำ และ 3.การกำหนดจุดรับจำนำน้อย ไม่สอดคล้องกับปริมาณการผลิตของพื้นที่และกำหนดช่วงระยะเวลาไม่เหมาะสมกับฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตแต่ละภาค


แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนปัญหาการรับแจ้งข้อมูลการปลูกพืชและการรับรองความเป็นเกษตรกรไม่ถูกต้อง พบว่า เกษตรกรที่แจ้งพื้นที่เพิ่มมากกว่าที่แจ้งข้อมูลไว้ในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แจ้งว่าเช่าพื้นที่เพาะปลูก และอ้างว่า ไม่มีสัญญาเช่า โดยเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งและเจ้าหน้าที่ที่รับรองไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทุกพื้นที่ เนื่องจากระยะเวลาในการดำเนินการโครงการจำกัด รวมถึงการรับแจ้งข้อมูลการปลูกพืชของเกษตรกรบางแห่งไม่ถูกต้อง เช่น ใช้เจ้าหน้าที่ธุรการเป็นผู้รับแจ้ง บางแห่งไม่ระบุตำแหน่งของผู้รับแจ้ง


"ส่วนการปฏิบัติงานของผู้แทนเกษตรกร และข้าราชการ ที่จังหวัดแต่งตั้งประจำจุดรับจำนำ พบว่าไม่ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย เอกสารประกอบการรับจำนำไม่สมบูรณ์ เช่น ใบรับฝากหัวมันไม่ลงลายมือชื่อในเอกสาร ไม่ปรากฏชื่อเกษตรกรเจ้าของสินค้า เกษตรกรบางรายชั่งน้ำหนัก 7 ครั้ง โดยใช้รถบรรทุกหมายเลขเดียวกัน แต่ปรากฏว่าเวลาในการนำสินค้ามาชั่งแต่ละครั้ง ใช้เวลาในการขนสินค้าห่างกันเพียง 3-9 นาที ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ และการออกใบรับฝากก่อนการออกใบชั่งน้ำหนัก ซึ่งในทางปฏิบัติต้องชั่งน้ำหนักสินค้าก่อนออกใบรับฝาก" แหล่งข่าวระบุ 


เตรียมสรุปเสนอนายกฯป้องกัน


แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดการวางแผนในการบริหารจัดการคิว ส่วนใหญ่ปล่อยให้ผู้ประกอบการหน่วยรับจำนำจัดคิวเอง ซึ่งการจัดคิวดังกล่าว จะจัดคิวให้กับผู้ใกล้ชิดหรือลูกค้าลูกหนี้ของผู้ประกอบการ หรือผู้มีฐานะดีก่อนเกษตรกรทั่วไป ทำให้เกษตรกรรายย่อยได้รับประโยชน์ไม่ทั่วถึงและเป็นธรรม ผู้นำมันฯมาจำนำบางราย มีฐานะดี ไม่ได้มีอาชีพหลักเป็นเกษตรกร เช่น เป็นบิดาผู้ประกอบการลานมัน หรือผู้ประกอบการรถบรรทุก เป็นต้น และบางลานมันกำหนดวิธีการให้เกษตรกรที่ไม่เป็นธรรมด้วย เช่นแม้เกษตรกรมาจำนำตามคิวถ้าปริมาณมันฯน้อยจะไม่รับฝาก แต่จะขอให้เกษตรกรกลับไปรวบรวมหัวมันสดให้ได้ขนาด 1 รถบรรทุก 6 ล้อ จึงจะรับจำนำ หรือกำหนดระยะเวลาจัดส่ง หากไม่จัดส่งได้ตามเวลาจะถูกตัดสิทธิ 


"ในการนำเสนอเรื่องต่อนายกฯครั้งนี้ นอกเหนือจากข้อมูลความไม่ชอบมาพากล ในการรับจำนำสินค้าเกษตร ทั้ง 3 ชนิด ที่ตรวจพบครั้งนี้ คณะกรรมการยังจะนำเสนอมาตรการและแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการ และการสวมสิทธิเกษตรกร อาทิ การเตรียมความพร้อมก่อนเปิดโครงการ การแจ้งข้อมูลการปลูกพืชและการรับรองความเป็นเกษตรกร การบริหารจัดการโครงการ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานโครงการรับจำนำในอนาคตด้วย" แหล่งข่าวระบุ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1246816266&grpid=01&catid=05

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

คลาสสิกไทย สไตล์ "จิตร ภูมิศักดิ์" (1) : ใส่สูท ผูกไทเพลงจิตร

คลาสสิกไทย สไตล์ "จิตร ภูมิศักดิ์" (1) : ใส่สูท ผูกไทเพลงจิตร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์24 มิถุนายน 2552 17:06 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
บรรยากาศงานบนเวทีคอนเสิร์ต "ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์"

บรรยากาศงานบนเวทีคอนเสิร์ต "ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์"

บรรยากาศงานบนเวทีคอนเสิร์ต "ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์"

อิสรพงศ์ ดอกยอกับเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา"

รศ. ดร. สุกรี เจริญสุข

นักร้องรับเชิญในคอนเสิร์ต

บัตรคอนเสิร์ต

จิตรกับเพื่อนร่วมวงดนตรีไทย พ.ศ. 2493

จิตรกับพื่อนร่วมชั้นเตรียมอุดมศึกษา

จิตรกับเพื่อนนักโทษการเมืองที่คุกลาดยาว

ละคร "มายาสีเงิน" ช่อง 3 มีต้นเค้าจากหนังสือเล่มนี้ ใช้เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ประกอบละคร

บันทึกการแสดงสด เพลงของจิตร บรรเลงโดย วงดุริยางคศิลป์ซิมโฟนีแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล


" แสงดาวแห่งศรัทธา"
ถ่ายทอดโดย อิสรพงศ์ ดอกยอ

นักรบประชาชนตัวจริงเสียงจริง "จิตร ภูมิศักดิ์" ผู้เป็นเจ้าของวรรคทอง "คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย" กับบทเพลงจำนวนหนึ่ง ณ วันนี้ วงดุริยางคศิลป์แห่งมหาวิทยาลัยมหิดลนำบทเพลงที่เขียนคำร้องและทำนองโดย จิตร ภูมิศักดิ์นำมาใส่สูท ผูกไท บรรเลงมาแล้วหลายครั้งตามคำเชิญในหลายสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

"เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน"


กลอนบทนี้ ศรีนาคร (จิตร ภูมิศักดิ์) แปลจากงานของกวีประชาชนชาวอาร์เมเนีย ชื่อ อาเวตีก อีสากยัน (Awetik Issaakjan) ถือเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนที่แจ่มชัดของจิตร ภูมิศักดิ์

ต้นฉบับเดิมของ Awetik Issaakjan เขียนว่า
"To banish the trace of a tear from eyes;
A thousand deaths would I gladly die;
If one more life were granted me;
I'd spend that life in serving thee."


5 พฤษภาคม 2509 เจ้าหน้าที่ล้อมยิงทหารป่าในบริเวณชายป่าบ้านหนองกุง ต.คำบ่อ อ.วาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ชายไทย เจ้าของบัตรประจำตัวประชาชน เลขที่ 59839/2496 ชื่อ "จิตร ภูมิศักดิ์"

พ.ศ. 2516 วงกรรมาชนเป็นวงเพื่อชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์มาเผยแพร่สู่ขบวนการนักศึกษาและสาธารณชน ผลงานเพลงชุดแรก แปรบทกวี "เปิบข้าว" มาเป็นเพลง ผลงานของจิตร ภูมิศักดิ์ซึ่งให้เนื้อและโน้ตอีกหลายเพลงถูกวงกรรมาชนนำมาเป็นผลงานเพลงในชุดที่ 2 และ 3 จนงานเพลงเหล่านั้นเป็นที่รู้จัก และเป็นเพลงนิยมในหมู่ปัญญาชนสมัยหลัง 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519

พ.ศ. 2551 – 2552 วงดุริยางคศิลป์แห่งมหาวิทยาลัยมหิดลนำเพลงทั้งหมดของจิตร ภูมิศักดิ์มาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ เฉพาะบทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ล้วนๆ แสดงครั้งแรก วันที่ 25 - 26 ตุลาคม 2551 ณ หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และล่าสุด จัดแสดงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคอนเสิร์ต "ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์" เมื่อวันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2552

ก่อนหน้านี้ บางบทเพลงถูกนำไปแทรกอยู่ในคอนเสิร์ตบทเพลงปฏิวัติ 4 ครั้ง โดยจัดแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ครั้งแรก "สายลมเปลี่ยนทิศ แต่ดวงจิตมิได้เปลี่ยนเลย" (13 กันยายน 2546) , ครั้งที่ 2 "ยืนหยัดมั่นคงเช่นเคย...ไม่เปลี่ยนทางเหมือนดั่งดาวเหนือ" (25 ธันวาคม 2547) ครั้งที่ 3 "ด้วยรักและอุดมการณ์" ที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ( 1 กันยายน 2551) นอกจากนี้ยังมี October Zone Cencert ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (8 มกราคม 2549) อีก 1 ครั้ง

วงดุริยางค์ซิมโฟนีแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล มี รศ. ดร. สุกรี เจริญสุข เป็นผู้อำนวยการวงฯ และยุทธพล ศักดิ์ธรรมเจริญ เป็นผู้ควบคุมวง
"เปรียบอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนวงเพื่อชีวิตทั้งหลายเขาใส่เสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขาก๊วย เล่นเพลงจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งให้อารมณ์แบบหนึ่ง แต่วันนี้เราจับมาผูกไท ใส่สูทให้มันเป็นอินเตอร์ขึ้นมา มันก็เป็นอย่างที่เห็นและได้ยินนั่นแหละ จริงๆ แล้ว มันก็เนื้อร้อง – ทำนองเดิม เพลงเป็นมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น การเรียบเรียงเสียงประสานก็คือการนุ่งผ้า อย่างที่ผมเปรียบให้ฟัง" อ. สุกรี เจริญสุข กล่าวกับทีมสกู๊ปพิเศษ ซูเปอร์บันเทิง ASTV Manager Online

บทเพลงของจิตร คือบทกวีที่มาพร้อมทำนอง และทำนองกำกับด้วยโน้ตเชอร์เวย์ (ตัวเลข)
"โน้ตเชอร์เวย์หรือโน้ตตัวเลข เป็นโน้ตที่ชาวจีนใช้ เข้าใจว่าจิตรคงจะเรียนเรื่องโน้ตนี้มาจากครูชาวจีน ถ้าเป็นโน้ตดนตรีไทยจะใช้ ด-ร-ม-ฟ ก็คือ โด เร มี ฟา ตัวเลขก็คือ 1–2-3–4 หรือจะเป็นตัวโน้ตสากล ไม่ว่าคุณจะใช้แบบไหนมันคือ ภาษา เหมือนกับการยักคิ้ว หลิ่วตา พยักหน้า อ่านหนังสือ ซึ่งทุกอากัปกิริยาเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่จะนำไปสู่ความเข้าใจ"

จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นทั้งศิลปิน นักกวี นักประวัติศาสตร์ นักคิดที่มีการต่อสู้ทางการเมือง อีกทั้งยังมีความลุ่มลึกทางภาษาศาสตร์ โบราณคดี เขาไม่ใช่แค่ปัญญาชน หากแต่เป็นปราชญ์ที่มองสิ่งต่างๆ ด้วย "ความรู้แจ้ง และ รู้จริง" ไม่ใช่แค่ "รู้จัก"

"การที่เขามีความรู้มากมายเหล่านี้ เวลาที่เขาถ่ายทอดออกมา เราจึงเห็นการถ่ายทอดที่เป็นแบบฉบับแท้ๆ เป็นจริตและอารมณ์ของเขา ไม่เคลือบแฝง ไม่เสแสร้ง ไม่ดัดจริต...คนจำนวนมากรู้จักอารมณ์แบบนั้น ความรักแบบนี้ ร้องเพลงเป็นตุเป็นตะ แต่คนเหล่านั้นล้วนแต่เสแสร้ง เพราะเขาแค่รู้จัก แต่จิตร รู้แจ้ง รู้จริง เห็นถึงสัจจะของชีวิต เขาเห็นทุกอย่างมากกว่าที่เราเห็น" อาจารย์สุกรี เจริญสุข กล่าว

จริตและอารมณ์ของจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นจริตที่เปี่ยมเต็มด้วยความห่วงหา, ความจริงใจและเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ จริตแบบนี้หาได้ยากในหมู่คนยุคปัจจุบัน
"สำหรับผม ชีวิตและงานของเขาบริสุทธิ์มาก ถึงแม้เพลงมาร์ชในยุคแรกๆ (พ.ศ. 2498-2499) จะเป็นการจำทำนองมาใส่เนื้อร้อง แต่พัฒนาการหลังจากนั้น (พ.ศ. 2501 - 2507) เป็นจริตของเขาแท้ๆ ขณะที่ชีวิตถูกจองจำอยู่ในคุก ขาดซึ่งอิสรภาพ แต่สติปัญญา จินตนาการกลับโบยบินอยู่ในโลกกว้าง เป็นตัวของตัวเอง ภาษานักกลอน เรียกว่า มุตโตแตก คือ สติปัญญาแตกฉาน"

รศ. ดร. สุกรี เจริญสุข ยืนยันว่า จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ใช่มีแต่เรื่องดุเดือดเพียงอย่างเดียว หากแต่มีมุมของมนุษย์ปุถุชนอยู่ด้วย
"เราเห็นถึงความรู้สึกนึกคิด ความรัก ความอ่อนไหว และสัจจะที่อยู่ในรูปของบทเพลง แน่นอนว่าเขามีความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวกับการต่อสู้ , ความไม่เป็นธรรมเยอะ ใครจะไปคิดว่าขณะที่เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับคุก การต่อสู้ และความรันทด เขาจะมีอารมณ์ในการเขียนเพลงรักอย่าง "อาณาจักรความรัก" ในความเป็นปุถุชนนี้ ผมคิดว่าชีวิตในมุมอื่น เช่น วัฒนธรรม ความงาม ความเสมอภาค เป็นสิ่งที่ชีวิตเขาเรียกหา และถ้าเขามีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตที่หลากหลายกว่านี้ ผมว่าเขาจะมีงานในลักษณะอื่นออกมาอีกเยอะ"

"จิตรจะร้องเพลงเอง เขาก็ไม่ใช่นักร้อง เขาจะเล่นเอง ก็ไม่ใช่นักดนตรี แต่สิ่งที่เราเห็นในบทเพลงของเขาคือ วิญญาณ เรานำวิญญาณนั้นมาถ่ายทอดโดยนักดนตรีที่ถูกฝึกมาให้เป็นนักดนตรีที่มีฝีมือ นักร้องซึ่งได้เสียงอย่างที่ต้องการ ได้นักเรียบเรียงเสียงประสานซึ่งเชี่ยวชาญที่จะอุ้มเพลงให้ได้ นั่นคือ หน้าที่ซึ่งเราทำให้กับงานเพลงของเขา เป็นเพลงที่เต็มรูปแบบอย่างที่ควรจะเป็น" อาจารย์สุกรี เจริญสุขอธิบาย

อาจารย์สุกรี เจริญสุขชอบเพลงของจิตรหลายเพลง เช่น ทะเลชีวิต, ฟ้าใหม่, อาณาจักรความรัก และแสงดาวแห่งศรัทธา
...
อิสรพงศ์ ดอกยอ & แสงดาวแห่งศรัทธา
ในบรรดาบทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ถือเป็นเพลงยอดนิยม เนื่องจากมีศิลปินทั้งฝ่ายเพื่อชีวิต และนักร้องเพลงไทยสากลนำมาขับร้อง เช่น กรรมาชน, หงา คาราวาน, วงโฮป, คีตาญชลี, สุเทพ วงศ์คำแหง, เพ็ญศรี พุ่มชูศรี , อู๋ เสรีชน, อรวี สัจจานนท์ เป็นต้น

บันทึกระหว่างบรรทัดนี้ว่า เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ในคอนเสิร์ต " ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์" ผู้ขับร้องเพลงนี้คือ อิสรพงศ์ ดอกยอ เพลงอื่นซึ่งขับร้องในคราวเดียวกัน เช่น "เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ" และ "อาณาจักรความรัก" (ร้องคู่กับ กมลพร หุ่นเจริญ) แต่ถ้าถามความชอบส่วนตัวแล้ว อิสรพงศ์อยากร้องในสไตล์ลูกทุ่งอย่าง "จอมใจดวงแก้ว" มากกว่า !!

หลายเวที อิสรพงศ์เคยผ่านการร้องเพลงมาแล้วหลายเวที เช่น ปี พ.ศ. 2545 เขาขึ้นเวทีประกวดของ KPN Junior Award ครองนักร้องยุวชนยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย และปี 2551 ชนะเลิศการประกวดเพลงพระราชนิพนธ์ ชิงถ้วยพระราชทานฯสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งจัดโดยกรุงเทพมหานครและสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ณ โรงมหรสพศาลาเฉลิมกรุง และเป็นผู้เข้ารอบ 50 คนของ อคาเดมี แฟนเทเซีย (AF 6) โดยส่วนตัวชอบเพลง "ลูกทุ่ง"

อิสรพงศ์ ดอกยอ จบชั้น ม.3 มาจากโรงเรียนวิสุทธิรังษี จังหวัดกาญจนบุรี และมาเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) และระดับปริญญาตรีที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล แขนงวิชาดนตรีสมัยนิยม สาขาการขับร้อง ปัจจุบันอายุ 19 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2

เขาฟังเพลงนี้ครั้งแรกจากน้ำเสียงของอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ ในคอนเสิร์ต October Zone เมื่อวันเด็ก 13 มกราคม 2550 เมื่อฟังจนชิน การฝึกย่อมจะง่ายขึ้น
"โดยพื้นฐานแล้ว ผมไม่ใช่คนเสียงสูง แล้วการที่ต้องมาร้องเพลงที่เลนกว้างๆ เมื่อถึงช่วงที่ต้องขึ้นเสียงสูงมันยากมาก แต่คอนเสิร์ตทั้ง 2 ครั้ง ทั้งที่มหิดลและที่ธรรมศาสตร์ เสียงตอบรับดีนะครับ ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยรู้จักผลงานของท่านเลย เคยได้ยินเพลง แสงดาวแห่งศรัทธา เพียงเพลงเดียวเท่านั้น จนเมื่อวันที่ไปเล่นที่ธรรมศาสตร์ มีทั้งนิทรรศการและร้านขายหนังสือ ผมถึงมีโอกาสได้รู้จักและสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของท่าน สำหรับเพลงนี้ในแง่คำร้อง ความหมายสุดยอดเลยครับ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ถ่ายทอดเพลงนี้ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่มีคนรู้จักมากที่สุดในบรรดาเพลงทั้งหมดของท่าน" อิสรพงศ์ ดอกยอกล่าว
...
จุดยืนของดุริยางคศิลป์
"เพลงก็คือเพลง การรับใช้มวลชนสังคมถือเป็นหน้าที่ เราในฐานะมหาวิทยาลัยของรัฐต้องทำสิ่งเหล่านี้ บทเพลงต้องอยู่เหนือความขัดแย้งทางสังคม มหาวิทยาลัยเป็นปัญญาของปวงชน เป็นแหล่งความรู้ 360 องศา รอบทิศทาง ครบวงจร หน้าที่ของวิทยาลัยทางดนตรีจึงทำตั้งแต่เพลงหมอลำถึงดนตรีคลาสสิก ผมถือว่า จิตร ภูมิศักดิ์ เป็น "ครูของสังคม" เรามีหน้าที่แสดงความยกย่องเขาในรูปของการแสดงดนตรี ส่วนเขาจะซ้าย ขวา หน้า หลัง เราไม่สนใจ" อาจารย์สุกรี เจริญสุข กล่าวถึงจุดยืน

ที่ผ่านมา วงดุริยางคศิลป์แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ผ่านผลงานหลากหลาย เช่น คอนเสิร์ตอย่าง เชิดชูบูชา คีตาจารย์ (พระเจนดุริยางค์, ขุนวิจิตรมาตรา และพรานบูรณ์) , 60 ปี สุรชัย จันทิมาธร เป็นต้น
"เราทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ รื้อประวัติศาสตร์มาทำใหม่ให้เป็นปัจจุบัน เพลงพวกนี้ไม่ตาย เพียงแต่ไม่มีใครเอามาเล่นเท่านั้นเอง เราทำในฐานะนักวิชาการทางดนตรี เพื่อให้เพลงเหล่านี้มีชีวิตอยู่ หลังจากที่เราทำเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ โดนใจคนเยอะ คอนเสิร์ตที่จัด ณ หอแสดงดนตรี ของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์มันง่าย ไม่ต้องขนย้าย ลงทุนน้อย คนจะดูหรือไม่มีคนดูก็ไม่เป็นไร แต่การไปจัดข้างนอกมันสิ้นเปลืองเยอะ ดังนั้นผมจึงทำกับหน่วยงานภายนอกน้อยมาก ทุกครั้งที่เราแสดง เราจะบันทึกผลงานการแสดงไว้ทั้งหมดเพื่อเป็นกรณีศึกษา" อาจารย์สุกรี เจริญสุขกล่าว

วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นวิทยาลัยดนตรีแห่งแรกของประเทศไทย มีฐานะเทียบเท่าคณะหนึ่งในกำกับของมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดสอนวิชาเกี่ยวกับดนตรีโดยเฉพาะ ตั้งแต่ระดับเตรียมอุดมดนตรี (ม. 4 - ม. 6) จนถึงระดับปริญญาเอก โดยเป็นสถาบันเดียวในประเทศที่เปิดสอนวิชาดนตรีในระดับปริญญาเอก มีอาจารย์ที่ชำนาญในเครื่องดนตรีแต่ละชนิดโดยเฉพาะ ทั้งยังเป็นสถาบันเดียวในประเทศที่เปิดสอนทั้งด้านแนวเพลงไทยและแนวเพลงสากล

ทางมหาวิทยาลัยฯ มีวงดนตรีประเภทต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแสดงในมหาวิทยาลัย และเมื่อได้รับการร้องขอจากหน่วยงานภายนอก วงดุริยางคศิลป์แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University Pop Orchestra) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2544 วงนี้ได้รวบรวมนักร้อง นักดนตรี ในทุกแขนงวิชามารวมกันเป็นวงขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องดนตรีทุกประเภทคือ String, Woodwind, Saxophone, Brass, Piano และ Rhythm Section ได้รับเชิญไปแสดงในงานคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในโอกาสพิเศษ เช่น งานสังสรรค์ครบรอบการก่อตั้งสถาบัน, งานคอนเสิร์ตเพลงปฏิวัติ, งานแสดงประกอบละคร Musical ฯลฯ การแสดงของวงนี้ต้องมีการเตรียมการเป็นพิเศษ การจัดการทุกขั้นตอนจึงต้องมีความพิถีพิถัน เนื่องจากมีผู้ร่วมวงเป็นจำนวนมาก
...
เรื่องนี้คุณรู้ไหม?
ครั้งหนึ่งเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" เคยเป็นเพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง "มายาสีเงิน" ทางช่อง 3 สมัยที่สถานีฯ เพิ่งจะเริ่มบุกเบิกละครโทรทัศน์ใหม่ๆ ผู้จัดละครเรื่องนี้คือ ปาริชาติ บริสุทธิ์ ผู้กำกับการแสดงคือ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล นำแสดงโดย ปฐมพงษ์ สิงหะ, วาสนา สิทธิเวช และวันทิพย์ ภวภูตานนท์ ละครเรื่องนี้ดัดแปลงจาก Diatant Dream หรือ วิมานมายา ทวีป วรดิลก แปลและเรียบเรียงจากงานของ Khwaja Ahmad Abbas (ชวายา อาหะหมัด อับบาซ) ซึ่งเป็นนักคิด นักหนังสือพิมพ์ชาวอินเดีย

นอกจากนี้เพลงนี้ยังนำมาใช้กับละครเรื่อง "เก็บแผ่นดิน" อีกด้วย (ติดตามอ่านตอน 2 - พลังเพลงจากคุกลาดยาว)

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071465






Make the most of what you can do on your PC and the Web, just the way you want. Windows Live

คลาสสิกไทย สไตล์ "จิตร ภูมิศักดิ์" (จบ) : พลังเพลงสร้างจาก "คุกลาดยาว"

คลาสสิกไทย สไตล์ "จิตร ภูมิศักดิ์" (จบ) : พลังเพลงสร้างจาก "คุกลาดยาว"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มิถุนายน 2552 13:28 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
แคน สาริกา

สุเทพ วงศ์กำแหง

สุชาติ สวัสดิ์ศรี

นิทรรศการภายในหอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์

บรรยายกาศงานคอนเสิร์ต

บรรยายกาศงานคอนเสิร์ต

บรรยายกาศงานคอนเสิร์ต

บรรยายกาศงานคอนเสิร์ต

จิตรถ่ายรูปคู่กับแม่และพี่สาวที่หนองคาย

เมื่อครั้งที่จิตรเที่ยวกับเพื่อนร่วมคณะที่ต่างจังหวัด

จิตร ภูมิศักดิ์ วัย 6 ขวบถ่ายที่กาญจนบุรี

ตรามูลนิธิ

ตัวอย่างโน้ตเชอร์เวย์ หรือโน้ตตัวเลขในเพลง ทะเลชีวิต

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071818

       มนต์รักจากเสียงกระดึง
       
        เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" เปี่ยมไปด้วยพลัง ความหวัง และปลุกปลอบให้กำลังใจคนในการก้าวไปข้างหน้า จัดเป็นเพลงยอดนิยมที่สุดของจิตร ภูมิศักดิ์ เพลงอื่นๆ ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของจิตร ภูมิศักดิ์ หรือไม่ใช่คนการเมืองเข้มข้นในสมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 คงยากที่จะรู้จักกับ "บทเพลง" อื่นๆ ที่ไม่ใช่เพลงฮิต
       
        "80% ของเพลงจิตร ภูมิศักดิ์ ออกมาจากคุกลาดยาว เข้าใจว่า จิตร ภูมิศักดิ์คงจะมีเวลาศึกษาหลายๆ เรื่องอย่างจริงจัง รวมทั้งเรื่องการเขียนเพลงด้วย งานเพลงในช่วงปี 2498 – 2499 ก่อนติดคุกมีไม่กี่เพลงหรอก เข้าใจในสมัยนั้นว่ายังไม่เป็นที่ติดหูคนด้วยซ้ำไป ทุกเพลงที่เขียนขึ้นในคุกมีพลังหมด" แคน สาริกา ผู้ตามจิตร ภูมิศักดิ์ในรอยป่ากล่าวกับทีมสกู๊ปพิเศษ ซูเปอร์บันเทิง ASTV Manager OnLine
       
        แคน สาริกา หรือ บัณฑิต จันทศรีคำ ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ และเป็นเจ้าของพ็อกเกตบุ๊กหลายเล่ม เช่น เสียงเพลงจากภูพาน, คนตุลาตายแล้ว, วาระสุดท้ายแห่งชีวิต จิตร ภูมิศักดิ์, เปลือยป่าแดง ฯลฯ
       
        เพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ปรากฏครั้งแรกในหนังสือ "คอมมิวนิสต์ลาดยาว" ที่เขียนโดยทองใบ ทองเปาด์
       
        "ตอนที่พี่ใบ เขียนถึงเพลงลาดยาว ยังไม่ได้บอกว่าเป็นเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์นะ แต่ใช้ชื่อว่า สุธรรม บุญรุ่ง พี่ใบเขียนไว้ว่า สักวันหนึ่งเราจะรู้ว่าเขาคือใคร ผมยังไม่มีโอกาสเจอพี่ทองใบ เป็นเรื่องที่ยังคาใจอยู่ อยากถามแกว่า ทำไมพี่ใบไม่ระบุไปเลยว่าเป็นจิตร ภูมิศักดิ์ แล้วพี่ทองใบเอาทุกเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์มาลง พี่ใบถือเป็นคนแรกที่เขียนเรื่องนี้มาเผยแพร่ ภายหลังวงกรรมาชน เป็นวงแรกที่เอาเพลงของจิตรมาร้องเผยแพร่ ทุกเพลงของจิตรมีพลังในการปลุกเร้าทั้งสิ้น" แคน สาริกา กล่าว
       
        บางคนในสมัยนั้นฟังงานเพลงแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า "จิตร ภูมิศักดิ์" เป็นใคร สำคัญอย่างไรกับสังคมไทย คนส่วนใหญ่รู้จักเขา เมื่อได้ฟังเพลงชื่อ "จิตร ภูมิศักดิ์" ที่เขียนคำร้องและทำนองโดย สุรชัย จันทิมาธร
       
        "เขาตายเหมือนไร้ค่า แต่ต่อมาก้องนาม ผู้คนไถ่ถามอยากเรียน ชื่อจิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักคิดนักเขียน ดั่งเทียนถ่องแท้แก่คน"
       
        "ผมคุยกับพี่วิทิต จันดาวงศ์ (สหายปาน) ทราบมาว่า เพลงเสียงเพรียกจากมาตุภูมิ, เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ไม่ได้ฮิตในคุกลาดยาวนะ เนื่องจากชีวิตในคุกลาดยาวเป็นช่วงของการต่อสู้ มันต้องปลุกเร้า เพลงแสงดาวแห่งศรัทธาอาจจะโรแมนติกเกินไป เพลงที่ฮิตในคุกลาดยาวจะมีเพลง รำวงวันเมย์เดย์, วีรชนปฏิวัติ, มาร์ชลาดยาว เป็นต้น"
       
        หลากหลายชีวิตที่อยู่ในคุกลาดยาวคราวนั้น นอกจากจิตร ภูมิศักดิ์แล้ว ยังมี ทองใบ ทองเปาด์ (ทนายความคนยาก เจ้าของรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ประจำปี 2527), เทพ โชตินุชิต ผู้นำทางการเมืองแนวสังคมนิยม, พล. ร.ต. ทหาร ขำหิรัญ, นายอุทธรณ์ พลกุล , อิศรา อมันตกุล นักหนังสือพิมพ์ และ สุวัฒน์ วรดิลก (รพีพร) เป็นต้น
       
        วันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2505 ได้จัดให้มีการแสดงละครเรื่อง "มนต์รักจากเสียงกระดึง" โดยสุวัฒน์ วรดิลก (รพีพร) ทำหน้าที่ "ผู้กำกับ" และ จิตร ภูมิศักดิ์ ในนามปากกา "สุธรรม บุญรุ่ง" แต่งเพลงประกอบละคร 2 เพลง คือ มนต์รักจากเสียงกระดึง และ ความหวังยังไม่สิ้น ซึ่ง 2 เพลงนี้ คอนเสิร์ต ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มงคล อุทก ถ่ายทอดเพลง "มนต์รักจากเสียงกระดึง" และครอบครัวโฮป ถ่ายทอดเพลง "ความหวังยังไม่สิ้น"
       
        "เพลงมนต์รักจากเสียงกระดึง พิสูจน์ความเป็นอัจฉริยะของจิตรได้เป็นอย่างดีว่า จิตรแต่งเพลงอีสานได้ เป็นนายของภาษา และเป็นคนศึกษา คุยกับคนอีสานที่อยู่ในคุก ทั้งเนื้อหา ดนตรีสุดยอดมากเลย คือถ้าเพลงนี้ พี่ใบไม่ได้บันทึกไว้ว่าแต่งในลาดยาว คนรุ่นหลังอาจจะคิดว่าจิตรแต่งในสมัยที่เข้าป่าก็ได้"
       
        เพลงมนต์รักจากเสียงกระดึง ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง "ปางนางขึ้นภูเก็บผักหวาน" หรือ "ต้อนงัวขึ้นภู" ทำนองเป็นเพลงพื้นเมืองภาคอีสาน ลีลาของเพลงเป็นการแสดงออกของการบันเทิงและการทำงานผสมผสานกันไป
        ...
       ไม่ใช่ "ฮีโร่" ของพรรคฯ
        "สมัยที่เรายังอยู่ในเมือง กลุ่มของพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี, อาจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, อาจารย์ชลธิชา สัตยาวัฒนา มีความพยายามที่จะบูม "จิตร ภูมิศักดิ์" ขึ้นมาแทนที่ "เช กูวารา" กระทั่งเอารูปที่จิตร ภูมิศักดิ์ ที่คาบบุหรี่เท่ๆ ขึ้นมาทำเป็นโปสเตอร์ คือ เราทุกคนที่อยู่ในเมืองตอนนั้นรู้จักจิตร ภูมิศักดิ์แล้ว แต่ในป่าไม่มีใครพูดถึงเพลงจิตรเลย จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ได้เป็นที่ "เชิดชู" และไม่ใช่ "ฮีโร่" ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เปรียบไปแล้วคือ ผู้เข้ามาร่วมงานปฏิวัติในช่วงสั้นๆ ไม่กี่เดือนแล้วจบชีวิตลง ...เท่านั้นเอง" แคน สาริกากล่าว
       
        เพลงภูพานปฏิวัติ, มาร์ชกองทัพปลดแอกประชาชนไทย" ( ชื่อเดิม พลพรรคครองชัย) และ เลือดต้องล้างด้วยเลือด" ไม่มีใครทราบว่าเป็นเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ และไม่มีใครรู้จักจิตร ภูมิศักดิ์
       
        "สหายบางคนยังบอกว่า เพลงเลือดต้องล้างด้วยเลือดไม่ใช่เพลงที่จิตรแต่งไว้ก็มี โชคดีที่เพลงนี้ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานเมื่อปี 2519 ผมได้ขึ้นไปที่โรงเรียนการเมืองที่ภูพาน เจอนักศึกษาธรรมศาสตร์ เป็นคนในรุ่นเดียวกับจิตร ภูมิศักดิ์ พี่อุทัยวรรณ เป็นคนแรกในป่าที่เขียนเรื่องเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ลงในจุลสารโรเนียวชื่อ "ธงปฏิวัติ" เบื้องหลังเพลงทุ่งรวงทอง, ภูพานปฏิวัติ, มาร์ชกองทัพปลดแอกฯ, เลือดต้องล้างด้วยเลือด นั่นเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยที่มาของเพลงเหล่านี้"
       
        วิทยุคลื่นสั้นเสียง - สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) เริ่มมาพูดถึงจิตร ภูมิศักดิ์อย่างจริงจังในช่วงหลัง 6 ตุลาคม 2519 เมื่อมีคนจากเมืองเข้าป่าเป็นจำนวนมาก หลังจากที่จิตรเสียชีวิตไปแล้ว 10 ปีเต็ม
       
        "เรื่องบทเพลง ไม่ว่าจิตรจะแต่งด้วยสำนึกทางการเมืองแบบไหน ผมว่าบทเพลงมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงพลังในแง่ของงานศิลปะ" สุชาติ สวัสดิ์ศรีกล่าว
       
        สุชาติบอกว่า ยอมรับว่าป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ชูจิตร ภูมิศักดิ์ ในฐานะที่เป็นนักคิดนอกกระแสคนหนึ่งในสังคมไทยที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้ตั้งใจเอาไปเปรียบกับเช กูวาราแต่อย่างใด ขณะที่คนรุ่นนี้มีระบบมากขึ้นในการที่จะได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นงานของจิตร ภูมิศักดิ์ แต่สมัยของสุชาติ สวัสดิ์ศรีต้องพยายามที่จะแสวงหาเพื่อรับรู้ ดังนั้น จึงสมควรที่คนรุ่นนี้จะศึกษาต่อยอดจากงานของจิตร ภูมิศักดิ์อย่างเป็นวิชาการ ไม่ใช่ศึกษาอย่างเป็นรูปเคารพ
       
        "จิตรมีความหลากหลายด้านที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวรรณคดี, งานวิจารณ์, ประวัติศาสตร์, นิรุกติศาสตร์, เขียนบทกวี, เขียนเพลง ในแง่ของคนที่เรียนมาทางด้านสังคมและมนุษยศาสตร์ ต้องถือว่าจิตร ภูมิศักดิ์เป็นของใหม่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว วิธีคิดของเขามีความแปลกใหม่หลายเรื่อง เช่น โฉมหน้าศักดินาไทย ซึ่งเอาทฤษฎีแบบมาร์กซิสม์มามองประวัติศาสตร์ไทย และทางภาษาศาสตร์ ผมคิดว่าหนังสือ "ความเป็นมาของคำสยามฯ" เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ส่วนความคิดเกี่ยวกับศิลปะ โดยเฉพาะศิลปะเพื่อชีวิตนั้น ผมคิดว่ามันเป็นกรอบความคิดที่ทำให้เราตื่นตัวขึ้นมาก็จริง แต่ในแง่ของกรอบความคิดเรื่องศิลปะนั้นยังค่อนข้างจะคับแคบ เพราะจิตรถือเอาศิลปะเป็นเพียงส่วนของงานการเมือง ผมคิดว่าศิลปะมันมีวิญญาณของมันมากกว่านั้น" สุชาติ สวัสดิ์ศรี กล่าว
       
        หลายปีก่อน สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร เคยทำผลงานเพลงชุดหนึ่ง งานชุดนี้ควบคุมการผลิตโดย เรืองยศ พิมพ์ทอง บางเพลงในงานชุดนี้เป็นของจิตร ภูมิศักดิ์ เช่น แสงดาวแห่งศรัทธา (สุเทพ วงศ์กำแหง), เปิบข้าว (เอกชัย ศรีวิชัย)
       
        เพลงอื่นๆ เช่น 14 ตุลา (ขับร้องหมู่), นกสีเหลือง (เพ็ญศรี พุ่มชูศรี), ดอกไม้ (วงจันทร์ ไพโรจน์), เพื่อมวลชน (ไพจิตร อักษรณรงค์), สู้ไม่ถอย (เมดเลย์) มาร์ชประชาชนเดิน (วินัย พันธุรักษ์), เมื่อฟ้าสีทอง (จิติมา เจือใจ), เปิบข้าว ( เอกชัย ศรีวิชัย), คนกับควาย (ชาย เมืองสิงห์), หนุ่มสาวเสรี (ไวพจน์ เพชรสุพรรณ), การะเกด (ชินกร ไกรลาส), คนภูเขา (สุนารี ราชสีมา), ตุลาชัย (สุดา ชื่นบาน), ราชดำเนิน (ดาวใจ ไพจิตร), รัตติกาล (ธานินทร์ อินทรเทพ / ทิพย์วัลย์ ปิ่นภิบาล), คนดี (ธานินทร์ อินทรเทพ), นกสีเหลือง (พ.ญ. พันธิวา สินรัชตานันท์) เป็นต้น
       
        "ก่อนหน้านี้ นักร้องในสายเพลงลูกกรุงที่มีโอกาสร้องเป็นคนแรกคือ พี่โจ๊ว เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ผมเพิ่งมีโอกาสมาร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มันทำให้คนที่ชอบร้องเพลงอย่างพวกเราได้มีโอกาสได้ฟัง ได้ถ่ายทอดเพลงเพื่อชีวิต หลายเพลงที่เราร้องมันบ่งบอกถึงชีวิตของคนยากจน คนที่ใช้แรงงานในการต่อสู้ชีวิต"
       
        สุเทพ วงศ์กำแหง ได้ยินเรื่องราวของจิตร ภูมิศักดิ์ครั้งแรกหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม จากวงคาราวาน
        "การตั้งวงคาราวานขึ้นมา มันทำให้แนวเพลงเปลี่ยน ความจริงมันไม่ได้เพิ่งจะมี แต่มันมีมานานแล้ว สมัยก่อนหน้านั้น ในวงการเพลงเรามีเสน่ห์ โกมารชุน, คำรณ สัมบุณณานนท์ เขาก็ร้องเพลงเกี่ยวกับชีวิตคนยาก คนจน เกี่ยวกับอะไรต่อมิอะไรมาแยะ แต่ความตื่นตัวในการฟังของคนสมัยนั้นยังไม่ได้ถึงขนาดที่ทำให้คนสนใจในสิทธิความเป็นอยู่ของประชาชน จนกระทั่งถึงยุคของหงา คาราวาน เราถึงรู้ว่าเรามีสิทธิ์ทวงคืนความถูกต้องจากรัฐบาลได้ ทำให้คนตื่นตัวเป็นลำดับ" สุเทพ วงศ์กำแหงกล่าว
       
        สุเทพ วงศ์กำแหง รู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ จากคำบอกเล่าของรุ่นพี่ อย่างสุวัฒน์ วรดิลก ฯลฯ และติดตามอ่านจากผลงานหนังสือต่างๆ เป็นต้น
        ...
       จอมใจดวงแก้ว!?
        คอนเสิร์ต "ซิมโฟนี 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์" ชูเพลง "จอมใจดวงแก้ว" เป็นครั้งแรกที่เพลงนี้ถูกบรรเลงในแบบซิมโฟนี ก่อนหน้านี้เพลงนี้ หงา คาราวาน เคยเล่นบนเวทีคอนเสิร์ตของเขามาแล้ว
       
        ตำนานเพลงว่า จิตรได้ประพันธ์เพลงนี้ โดยได้นำเอาทำนองเพลง "วันสุดท้าย" ของสุชาติ เทียนทอง นักร้องเพลงลูกทุ่งที่โด่งดังในยุคนั้น จากความทรงจำของกรองแก้ว เจริญสุข บทเพลงนี้ "กลาโหม" ซึ่งเป็นทหารพิทักษ์จิตรได้ขอร้องให้จิตรประพันธ์ขึ้นเพื่อมอบให้แก่คนรักของเขาที่จะจากกัน บทเพลงนี้บรรเลงครั้งแรกด้วยน้ำเสียงของ "กลาโหม" โดยมีจิตรเล่นแมนโดลินคลอตามไปด้วยต่อหน้ากรองแก้ว เจริญสุขในวันที่ต้องอำลาจากกัน
       
        ที่มาของเพลงนี้ แคน สาริกา ผู้ตามจิตร ภูมิศักดิ์ในรอยป่า ตั้งข้อสงสัย !! และตั้งข้อสังเกตว่าเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ส่วนใหญ่จะมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน สมัยคุกลาดยาว ทองใบ ทองเปาด์บันทึกไว้ในหนังสือ คอมมิวนิสต์ลาดยาว เมื่อตอนที่เดินทางไปโรงเรียนการเมืองที่ภูพาน พี่อุทัยวรรณ ซึ่งอยู่กับจิตร และเขียนที่มาของบทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ช่วงที่อยู่ในป่าไม่เคยพูดถึงและไม่คุ้นกับเพลงนี้เลย หลักฐานพยานบุคคล ไม่มี , หลักฐานเอกสารไม่มี มีแค่การบอกเล่าจากความทรงจำของกรองแก้วเท่านั้น
       
        "ไม่ใช่ผมไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้ควรได้รับการค้นคว้าต่อไป ควรจะมีหลักฐานที่มาที่ไปมากกว่านี้" แคน สาริกา กล่าว
       
        และมากกว่านั้น เพลงนี้ไม่ได้แสดงถึงอัจฉริยะของจิตร ภูมิศักดิ์ นอกจากแสดงให้เห็นว่า จิตร ภูมิศักดิ์แต่งเพลงจีบสาวเป็นเท่านั้น !! เพลงอื่นๆ อย่างเช่น หยดน้ำบนผืนทราย, มนต์รักจากเสียงกระดึง, อาณาจักรความรัก ยังมีความน่าสนใจมากกว่า
        ...
       บทเพลง "ประชาชน" ขึ้นหิ้งแล้ว
        เลือก 3 บทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่แคน สาริกาโปรดปรานคือ เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ, ภูพานปฏิวัติ และแสงดาวแห่งศรัทธา
        "ในวัย 18-19 ปี การได้ฟังเพลงเสียงเพรียกจากมาตุภูมิ มันทำให้เราสำนึกถึงแผ่นดินเกิด มีความรักต่อแผ่นดินเกิดและพร้อมที่จะเสียสละเพื่อการต่อสู้และเดินทางไกล, ภูพานปฏิวัติ สำหรับผมเป็นเพลงปฏิวัติที่คลาสสิกที่สุด แตกต่างจากเพลงปฏิวัติที่ทางพรรคฯ เอาทำนองจีนมาใส่คำร้อง เพลงของจิตรมีชั้นเชิงกว่าเยอะ เพลงนี้ร้องกันมาต่อๆ ภายหลังจีนเอาไปใส่ทำนองให้ มันใหญ่มาก เหมือนเพลงมาร์ชกองทัพเลย ส่วนเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เป็นเพลงดังหลังป่าแตก มาดังในยุคหลังสุด ในสถานการณ์ของการต่อสู้ในยุคหนึ่ง เพลงนี้ไม่ดัง เพราะโรแมนติกเกินไป"
       
        บทสรุปท้ายของเกจิเพลงภูพาน กล่าวถึงเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ว่า
        "จะเรียกว่าเพลงอะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นเพลงที่มีเป้าหมายทางสังคมชัดเจน ทุกเพลงมีความมุ่งมั่น ไม่ใช่แค่ฟังเฉยๆ มันมีทั้งการปลอบประโลม มีความหวัง เต็มไปด้วยความใฝ่ฝันที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น เห็นชนชั้นที่แตกต่างทางสังคมชัดเจน ทำนองเพลงของจิตรมีความกว้างและหลากหลายมาก บวกกับความเป็นนายภาษา แม้แต่เพลงที่มีเนื้อหาปลุกเร้ายังมีภาษาที่สวย ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เพลงของเขาควรจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เป็นเพลงคลาสสิกไทยได้แล้ว"
        ...
       หมายเหตุ - ผลงานเพลง จิตร ภูมิศักดิ์ แบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้
       บทเพลงจากนาคร (พ.ศ.2499-2500)

        มาร์ชเยาวชนไทย (ประมาณปี พ.ศ. 2498 -2499), มาร์ชแอนตี้จักรวรรดินิยม (ประมาณปี พ.ศ. 2498-2500), มาร์ชกรรมกร (ประมาณปี พ.ศ. 2498-2500)
       
       บทเพลงลาดยาว (พ.ศ. 2501-2507)
        มาร์ชครูไทย (พ.ศ. 2503), มาร์ชชาวนาไทย (พ.ศ. 2502), มาร์ชลาดยาว (พ.ศ. 2503-2505) เทอดสิทธิมนุษยชน (พ.ศ. 2503-2505), ฟ้าใหม่ (พ.ศ. 2503-2505), ความหวังยังไม่สิ้น (พ.ศ. 2503-2505), แสงดาวแห่งศรัทธา (พ.ศ. 2503-2509), ศักดิ์ศรีของแรงงาน (พ.ศ. 2504), อินเตอร์เนชั่นแนล (พ.ศ. 2504), รำวงวันเมย์เดย์ (พ.ศ.2503-2505), เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ (พ.ศ. 2503-2505), ทะเลชีวิต (พ.ศ. 2504), หยดน้ำบนผืนทราย (พ.ศ. 2504), อาณาจักรความรัก (พ.ศ. 2504 - 2508), วีรชนปฏิวัติ (พ.ศ. 2505 - 2506)
       
       บทเพลงจากภูพาน (พ.ศ. 2508-2509)
        ทุ่งรวงทอง (พ.ศ. 2508), เลือดต้องล้างด้วยเลือด (พ.ศ. 2505 - 2509), จอมใจดวงแก้ว (พ.ศ. 2508), ภูพานปฏิวัติ (พ.ศ. 2508), พลพรรคครองชัย (พ.ศ. 2508)


--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://www.pdc.go.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

การป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับประชาชน



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://www.pdc.go.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

--- On Mon, 7/6/09, churdchoo ariyasriwatana <churdchoo@gmail.com> wrote:

From: churdchoo ariyasriwatana <churdchoo@gmail.com>
Subject: การป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับประชาชน
To:
Date: Monday, July 6, 2009, 3:08 AM




เรียน สื่อมวลชนทุกท่าน

การที่กระทรวงสาธารณสุขบอกว่า การป้องกันไข้หวัดให๋สายพันธ์ใหม่ 2009 นั้น สามารถทำได้ 3 อย่างคือ กินของร้อน ใช้ช้อนกลางและหมั่นล้างมือ เท่านั้น
เป็นการส่งข่าวสารที่ไม่ครบถ้วนไปสู่ประชาชน ทำให้ประชาชนไม่สามารถระมัดระวังป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุใหม่ 2009 และไม่สามารถควบคุมไม่ให้ผู้ป่วย แพร่เชื้อไปสู้ผู้อื่นได้ (ดังจะเห็นได้จากการมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากมาย ตัวเลขที่กระทรวงบอกว่ามีกี่รายนั้น อาจจะต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ตรวจคัดกรอง หรือยืนยันว่าใครเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ทุกๆคน)

ทั้งนี้ เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้น จะทำให้เกิดอาการเหมือนไข้หวัดทั่วไป คือ มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล (เด็กๆก็จะมีทั้งน้ำมูก น้ำลายไหล)

ในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ของผู้ป่วยเป็นไข้ไหวัดใหญ่ จะมีเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่มาก เมื่อคนเปนหวัดไอ หรือจาม โดยไม่ใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก ก็จะทำให้มีเชื้อไวรัสแพร่กระจายออกมากับละอองน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ ที่ไอ จามหรืออาเจียนออกมา โดยละอองน้ำมูก น้ำลายฯลฯ ต่างๆนี้ ก็จะมีเชื้อไวรัสปนออกมา ล่องลอยอยู่ในอากาศ คนที่อยู่ใกล้ชิด ที่หายใจเอาละอองน้ำมูกน้ำลาย ฯลฯ ของผู้ป่วย ก็จะได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในทางเดินหายใจโดยตรง ทำให้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย

ส่วนการที่ละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ที่หลั่งออกมาจากผู้ป่วยและแพร่กระจายโดยการไอหรือจาม ก็อาจจะแห้งกลายเป็นละอองเล็กๆ ล่องลอยในอากาศ ผู้ที่สูดหายใจเอาละอองแห้งนี้เข้าไป ก็อาจติดหวัดได้

ฉะนั้น การป้องกันไช้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไม่ว่าสายพันธ์ใด จึงควรป้องกันการแพร่กระจาย โดยการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยไอ จาม สั่งน้ำมูก น้ำลาย เลอเทอะไปทั่ว โดยการใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม เพื่อไม่ให้ผู้ป่วย แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นไดยปล่อยละอองน้ำมูก น้ำลาย ไปในอากาศ

ส่วนผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสแล้ว แต่ยังไม่มีอาการไข้หวัด (ระยะฟักตัว 1-3 วัน ก่อนมีอาการ) แต่เขาก็มีเชื้อโรคที่สามารถแพร่ไปสู่คนอื่นได้แล้ว ฉะนั้น ลมหายใจ น้ำมูก น้ำลาย เขาก็มีเชื้อโรคอยู่แล้ว เขาจึงอาจแพร่เชื้อได้โดยการจาม

ฉะนั้น การจะป้องกันไม่ให้ผู้ป่วย หรือผู้ได้รับเชื้อโรคแล้ว(แต่ยังไม่มีอาการ) แพร่เชื้อไปสู่อากาศ ก็ควรจะให้ผู้ป่วยทุกคนใส่ผ้าปิดปากปิดจมูก (mask) เวลาออกไปนอกบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้คนอื่น
ส่วนผู้ยังไม่มีอาการ (ไม่ว่าจะได้รับเชื้อหรือไม่) ก็ควรจะมีผ้าปิดปากปิดจมูก เวลาออกไปยังที่ชุมนุมชน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันตนเอง มิให้สูดเอาเชื้อไวรัสจากอากาศ
ในโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยเยอะๆ ในปัจจุบันนี้ บุคลากรในโรงพยาบาลจึงต้องใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ และให้ผู้ป่วยใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเช่นกัน

หรือคนอาจจะแพร่เชื้อให้คนอื่นจากการกินอาหารร่วมกันโดยไม่ใช้ช้อนกลาง
หรือมือของผู้ป่วยเอาไปเช็ดน้ำมูกน้ำลาย แล้วไปป้ายตาม ของเล่น (เด็ก) หรือจับประตู เอาน้ำมูกไปป้ายตามที่ต่างๆ ก็สามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ การล้างมือจึงสำคัญมาก เพราะถ้ามือเราไปจับสิ่งที่เปื้อนน้ำมูกน้ำลายแล้วเอามือขยี้จมูก หรือเอาใส่ปากอม (เด็ก) หรือหยิบของกิน ก็จะทำให้เราได้รับเชื้อไวรัสได้ จึงต้องหมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำ และสบู่

ห้องน้ำสาธารณะตามตลาดสด และร้านอาหาร มักไม่ค่อยมี สบู่ไว้เสำหรับฟอกมือ

จึงควรจะมีข้อบังคับด้านสุขอนามัยจากเทศบาล หรือกระทรวงสาธารณสุข ชี้ชวน (น่าจะออกเป็นประกาศกระทรวงบังคับ) ให้ห้องน้ำในที่สาธารณะ ตลาด และร้านอาหาร ต้องมีสบู่ไว้ให้ประชาชนล้างมือหลังเข้าห้องน้ำ ให้ติดเป็นนิสัย
เพราะการล้างมือนั้น จะสะอาดปราศจากเชื้อโรคได้ ก็ต้องฟอกด้วยสบู่ทุกครั้ง ไม่ใช่ล้างน้ำเปล่าอย่างเดียว

และการล้างมือให้สะอาดนี้ นอกจากจะป้องกันโรคไข้หวัดแล้ว ยังป้องกันโรคท้องร่วง บิด อหิวาต์ ลำไส้อักเสบ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ขอให้ช่วยแพร่ข่าวนี้ด้วย เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไข้หวัดใหญ่ระบาดไปมากกว่านี้


พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
กุมารแพทย์



http://www.thaigoodview.com/node/8209 / โครงการอบรมสัมมนา โดย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม

http://angelsanddemons.cern.ch
 
เจาะให้ลึกสุดๆ มะกันทะลวงเหมืองสร้างแล็บใต้ดิน ไขปริศนา "สสารมืด"
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071568
 
ดาวยุคแรกแห่งจักรวาลอาจไร้แสง ด้วยพลังแห่ง "สสารมืด"
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000022697
 
โครงการอบรมสัมมนา โดย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม
http://graduate.spu.ac.th/content/622/9121.php

 




Make the most of what you can do on your PC and the Web, just the way you want. Windows Live

รู้จัก "ปฏิสสาร" ให้มากขึ้นจาก "เทวากับซาตาน"

รู้จัก "ปฏิสสาร" ให้มากขึ้นจาก "เทวากับซาตาน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 พฤษภาคม 2552 12:51 น.

ยวน แม็คเกรเกอร์ (ขวา) ในมาดนักบุญแห่งวาติกัน (โคลัมเบียพิคเจอร์ส/เอพี)

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
วิตโตเรีย เวตรา ในภาพยนตร์กำลังกู้ระเบิดปฏิสสารด้วยการเติมแบตเตอรี (โคลัมเบียพิคเจอร์ส/เอพี)

ฉากในภาพยนตร์ ซึ่งทอม แฮงค์ รับบท "โรเบิร์ต แลงดอน" นักสัญลักษณ์วิทยา และ อเยเลท ซูเรอร์ ในบท "วิตโตเรีย เวตรา" นักฟิสิกส์สาวจากเซิร์น (โคลัมเบียพิคเจอร์ส/เอพี)

ในฉากที่ปฏิสสารถูกผลิตขึ้น (โซนีพิคเจอร์ส/ยูเอสเอทูเดย์)

อุปกรณ์กักเก็บในภาพยนตร์ ที่จินตนาการสร้างขึ้นสำหรับการขนย้ายปฏิสสารออกจากห้องทดลอง

แม้จะเคยชี้แจงแถลงไขผ่านเว็บไซต์ของ "เซิร์น" ไปแล้วนับแต่นวนิยาย "เทวากับซาตาน" ของ "แดน บราวน์" ออกมาโลดแล่นผ่านหน้าหนังสือสู่สายตาผู้อ่าน แต่เมื่อเรื่องราวดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งในแผ่นฟิล์ม ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้ง ถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "ปฏิสสาร" ที่ในเรื่อง ถูกนำเสนอให้เป็นอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง
       
       ในภาพยนตร์ "เทวากับซาตาน" (Angels & Demons) ที่สร้างขึ้นโดยอิงจากนิยายแนวระทึกขวัญของ "แดน บราวน์" (Dan Brown) ที่ล้วงลึกข้อมูลภายในของ "วาติกัน" ผู้นำแห่งคริสตจักร และ "เซิร์น" (องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ - European Center for Nuclear Research : CERN) ผู้นำแห่งโลกวิทยาศาสตร์ ซึ่งทั้ง 2 องค์กร มีความเชื่อในจุดกำเนิดจักรวาลที่ต่างกันคนละขั้ว
       
       สิ่งที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ได้สร้างขึ้น เพื่อค้นหาต้นตอแห่งจุดกำเนิดของจักรวาลนั่นก็คือ "ปฏิสสาร" (antimatter) โดยห้องแล็บของเซิร์นในภาพยนตร์ได้สร้างปฎิสสารมากถึง 1 กรัม ซึ่งมีความร้ายแรงเทียบเท่าระเบิดไดนาไมต์ 5,000 ตัน นับว่ามากเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มองค์กรลับนามว่า "อิลูมิเนติ" (Illuminati) นำมาใช้ข่มขู่ระหว่างการเลือกตั้งพระสันตปาปาองค์ใหม่ เพื่อทำลายล้างให้นครวาติกันหายไปในพริบตา
       
       บอริส เคย์เซอร์ (Boris Kayser) นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการเครื่องเร่งอนุภาคเฟอร์มิแห่งสหรัฐฯ (Fermi National Accelerator Laboratory) หรือเฟอร์มิแล็บ (Fermi Lab) ในบาตาเวีย มลรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ตัวเลขที่อ้างในภาพยนตร์นั้นถูกต้อง แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายพันล้านปี กว่าที่มนุษย์จะผลิตปฏิสสารได้มากเท่าที่ปรากฎในภาพยนตร์
       

       รอล์ฟ ลันดัว (Rolf Landua) ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิสสารจากเซิร์น และยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านฟิสิกส์แก่รอน โฮวาร์ด (Ron Howard) ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ให้ความเห็นกับยูเอสเอทูเดย์ว่า งานของพวกเขานั้น พุ่งเป้าไปที่การทำความเข้าใจในความลึกลับของเอกภพ และไม่ได้สนใจการสร้างอาวุธเลย อีกทั้งที่เซิร์นยังเป็นห้องปฏิบัติการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ผลิตปฏิสสารในจำนวนน้อยนิด คงไม่มากพอที่จะกลายเป็นระเบิดได้ในที่สุด
       
       แท้จริงแล้วปฏิสสารคืออะไรกันแน่?

       
       บทความจากนิตยสารป็อปปูลาร์มาแคนิก (Popular Machenic) อธิบายโดยอาศัยคำสัมภาษณ์ของลันดัวว่า ทฤษฎีเรื่องปฏิสสารเริ่มพูดถึงเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2471 ปฏิสสารเป็นภาพสะท้อนกลับด้านของสสารที่พบทุกวันนี้ภายในอะตอม เรียกได้ว่าเมื่อมีสสารก็ย่อมต้องมีปฎิสสาร เป็นการสร้างความสมดุลของธรรมชาติ
       
       ต่อมาเมื่อนักวิทยาศาสตร์สร้าง "แอนติอิเล็กตรอน" (anti-electron) คู่ตรงข้ามกับอิเล็กตรอนในปี พ.ศ.2475 และ "แอนติโปรตอน" (anti-proton) ได้ในปี 2498 ก็เท่ากับยืนยันทฤษฎีดังกล่าว
       
       อย่างไรก็ดี ปฏิสสารเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2538 แต่ไม่ใช่ที่ห้องปฏิบัติการของเซิร์นตามแบบในภาพยนตร์ ซึ่งเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่เป็นห้องทดลองสำคัญ ที่ทำให้อนุภาคชนกัน จนได้ปฏิสสารออกมาอย่างที่เห็นในภาพยนตร์นั้น ณ ปัจจุบันยังไม่ได้มีการทดลองจริงแต่อย่างใด มีแค่เพียงการทดสอบเดินเครื่องไปเมื่อช่วงเดือน ก.ย.ของปีที่ผ่านมา
       
       อีกทั้ง ในทางทฤษฎีแล้ว ควรมีปริมาณปฏิสสารพอๆ กับสสารที่เกิดจากระเบิด "บิกแบง" (Big Bang) เมื่อ 1.37 หมื่นล้านปีมาแล้ว และที่น่าสนใจ คือ สสารกับปฏิสสารต่างทำลายล้างซึ่งกันและกัน แต่เหตุใดจึงมีสสารออกมาในรูปของดวงดาว ดาวเคราะห์และผู้คนอยู่เต็มไปหมดในเอกภพ นั่นคือหนึ่งในความลึกลับของจักรวาลวิทยา
       
       ในชีวิตจริง เราพบปฏิสสารได้เพียงในห้องปฏิบัติการ และกรณีที่รังสีคอสมิคพุ่งเข้าชนชั้นบรรยากาศ แล้วปลดปล่อยปรากฏการณ์แปลกประหลาดทางฟิสิกส์ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งพบเห็นได้ยาก
       
       ส่วนที่เซิร์นนั้น ลำรังสีพลังงานสูงของอนุภาคโปรตอนจะถูกยิงเข้าไปยังกำแพงโลหะเพื่อผลิตปฏิสสาร ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ประมาณ 1 ในล้านครั้งของการชน แม่เหล็กอันสลับซับซ้อนจะดักจับสิ่งที่ยากจะพบในสภาพสุญญากาศ เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสสารจริง
       
       สำหรับการเก็บปฏิสสารไว้ภายในอุปกรณ์ เหมือนขวดแม่เหล็กรักษาอุณหภูมิตามที่เห็นในภาพยนตร์นั้น นักวิทยาศาสตร์จากเซิร์นเปิดเผยว่า พวกเขามีอุปกรณ์หน้าตาคล้ายๆ กันนี้เรียกว่า "กับดักเพนนิง" (Penning Trap) เพื่อเก็บแอนตีโปรตอนไว้ศึกษา 57 วัน แต่การขนย้ายปฏิสสารนั้น แม้ว่าในทางทฤษฎีจะเป็นไปได้ แต่ยังไม่มีการขนย้ายในโลกแห่งความจริง
       
       ที่สำคัญ บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังคาดหวังว่า เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี ที่ขดเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตรอยู่ใต้ดินบริเวณชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสนั้น จะเป็นเครื่องมือที่ยืนยันการมีอยู่จริงของอนุภาค "ฮิกก์โบซอน" (Higgs Boson) หรือ "อนุภาคพระเจ้า" (God particle) ซึ่งเป็นอนุภาคที่จะอธิบายว่าสสารมีมวลได้อย่างไร ซึ่ง ลีออน เลเดอร์แมน (Leon Lederman) อดีตผู้อำนวยการของเฟอร์มิแล็บและผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อปี 2531 เป็นผู้หนึ่งที่มีความหวังต่อเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี
       
       "อนุภาคพระเจ้า (ในบทภาพยนตร์ของไทยแปลว่า "เถ้าธุลีพระเจ้า") จะให้คำอธิบายได้ถึงการไม่ปรากฏของปฏิสสารในเอกภพนี้" เลเดอร์แมนกล่าว
       
       *สนใจติดตามไขประเด็นทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องปฏิสสารที่ปรากฎในเทวากับซาตาน เซิร์นได้ทำเว็บไซต์อธิบายไว้ที่ angelsanddemons.cern.ch
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000058089


--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://www.pdc.go.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

คลังบทความของบล็อก

ผู้ติดตาม